ชั่วโมงแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง
ยงกุกที่ดูเหมือนจะยังหมดสตินอนอยู่บนเตียงคนป่วยโดยมีเจโล่นั่งมองอีกคนไม่วางตา
ในใจก็ได้แต่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้คิดสงสัยว่าคนที่หลับใหลจะมองเขายังไงเมื่อยามที่ตื่นลืมตาขึ้นมา
“เจโล่! พี่ยงกุกยังไม่ฟื้นอีกงั้นหรอ?” จองอบถามขึ้นมาก่อน
ในตอนนี้บรรดาคนเจ็บที่อาการไม่หนักก็พากันมาเยี่ยมคนที่ยังไม่ได้สติและอีกคนที่พวกเขาเป็นห่วงมากกว่า
คนที่ตอนนี้กำลังรู้สึกแย่กับตัวเอง
“พวกนายไม่กลัวฉันหรอ??”
คำที่เจโล่พูดขึ้นมาทำเอาจองอบกับยองแจต้องรีบเดินเข้ามากอด
“ทำไมฉันต้องกลัวนายด้วยล่ะเจโล่?
นายช่วยพวกเรานะ!” ยองแจพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แต่พี่กลัวนะเจโล่!”
ฮิมชานที่พูดออกมาแบบนั้นก็โดนยองแจจ้องหน้าจะกินเลือดกินเนื้อ
“ขอโทษฮ่ะ!!!” เจโล่หันหน้าหลบทุกคนและมองไปที่ยงกุกอย่างเศร้าๆ
“พี่กลัวแทนคนที่คิดไม่ดีกับพวกนายสองคนนะ
ยงกุกก็เป็นพวกบ้าเลือด ส่วนนายก็เป็นพวกที่เก่งจนน่ากลัว
สรุปว่าคนที่มาหาเรื่องพวกนายสองคนคงจะโง่มากหรือไม่ก็อยากตายเต็มทีนะ!!” ฮิมชานพูดจบก็เดินมาหาเจโล่พลางลูบหัวของเจโล่อย่างเอ็นดู
“เอามือแกออกเลย
ถ้าไม่อยากให้ฉันลุกขึ้นไปเตะ!!!” ยงกุกดูเหมือนจะฟื้นขึ้นมาเพราะความอึกทึกของคนในห้องนั่นแหล่ะ
ถึงจะน่าหงุดหงิดที่โดนปลุกแต่เขาก็ยิ้มให้กับทุกคน
“สงสัยจะโดนฟาดแรงกว่าที่คิดแฮ่ะ
ยงกุกมันยิ้มอีกแล้วว่ะ” แดฮยอนไม่ลืมที่จะพูดกวนประสาทเพื่อนของเขา
“ปวดหัวมากไหมครับ?”
จองอบถามออกมาอย่างเป็นห่วง
เพราะสภาพของยงกุกที่ทุกคนเห็นในตอนนั้นทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาก
“นิดหน่อยนะ ยังมึนๆ
อยู่เหมือนกัน” พอยงกุกพูดแบบนั้นเจโล่ก็รีบเข้าไปมองหน้าใกล้ๆ
“ให้ผมไปเรียกหมอไหมฮ่ะ??”
ยงกุกที่เห็นเจโล่ที่แสนจะน่ารักเป็นห่วงเขาแบบนี้ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเพราะเด็กที่น่ากลัวคนนั้นหายไปแล้ว
“ไม่ต้องหรอก
แค่ให้ไอ้พวกนั้นออกไปจากห้องก็พอ” แล้วไอ้พวกนั้นที่ว่าก็ดูเหมือนจะรู้ตัวกันดี
ก็เลยพากันเดินออกจากห้องไปโดยไม่ต้องรอให้คนมาไล่
“ไปล่ะนะ
ถ้าไงก็อย่าหักโหมนะเว้ย! เดี๋ยวจะสลบอีกรอบไม่รู้ด้วย!!”
ฮิมชานพูดประชดยงกุกก่อนจะปิดประตูพร้อมล็อกลูกบิดให้เสร็จสรรพ
หลังจากทุกคนออกไปกันหมดเจโล่ก็เงียบไป
ดูเหมือนกำลังกลุ้มใจอย่างเห็นได้ชัด
“พี่รักเจโล่นะ
จำได้รึเปล่าครับ??” ยงกุกพูดกับเจโล่อย่างนุ่มนวล
“ทั้งที่ผมไม่ต่างจาก...
นักฆ่าผู้เลือดเย็นงั้นหรอครับ?” เจโล่พูดออกมาจนได้
“เจโล่ของพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”
ว่าแล้วยงกุกก็พยุงตัวเองขึ้นจากเตียงคนไข้
ก่อนจะยืนกอดเจโล่ที่หันหลังให้เขา แผ่นหลังนั้นดูเศร้ากว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
แขนของยงกุกโอบกอดเจโล่ไว้แน่น ท่อนแขนสัมผัสได้ถึงหยดน้ำที่ล่วงหล่นลงมา
“แต่ผมเคยฆ่าคน
เมื่อคืนผมก็เกือบจะฆ่าคนด้วย แถมวิธีที่ผมใช้มันก็น่ากลัวขนาดนั้นอีก
ผมกลัวตัวเองนะฮ่ะพี่ยงกุก!!!” น้ำเสียงที่สั่นเครือทำเอายงกุกเจ็บปวดในหัวใจ
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาประมาทเกินไปก็คงไม่โดนทำร้ายง่ายๆ แบบนั้น
เจโล่ก็คงไม่ต้องกลายคนบ้ากระหายเลือด
“พี่ขอโทษ! ทั้งที่สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ให้ตัวเองเจ็บตัวแต่พี่ก็ทำไม่ได้!!” เขารู้ดีกว่าใคร คนที่ทำให้จิโร่ตื่นขึ้นมาคือตัวเขาเอง
คงเพราะเจโล่รักเขามากเกินไปห่วงเขามากเกินไปเรื่องแบบนั้นถึงได้เกิดขึ้นมา
“แต่ว่าผม!!” ยงกุกใช้มือของตัวเองโน้มหน้าของเจโล่ให้เอียงหันกลับมาหาตนก่อนจะบรรจงจูบแสนหวานมอบให้อย่างอ่อนโยน
“พี่จะกอดเจโล่เอาไว้เอง! พี่จะไม่ยอมให้เจโล่กลายเป็นคนที่เจโล่เกลียดกลัวหรอกนะ!!!” แววตาที่ห่วงหาอาทรนั้นบรรเทาความรู้สึกที่บอบช้ำได้เป็นอย่างดี
“พี่ยงกุกจะหยุดผมใช่ไหม?
พี่ยงกุกต้องอยู่กับผมตลอดไปนะฮ่ะ!!” เจโล่หันกลับมาจูบยงกุกอย่างโหยหาอ้อมกอดของคนตรงหน้า
เขากลัวว่ายงกุกจะไม่รักเขาที่เป็นแบบนั้น
ชั่วโมงต้องมนตร์ของทั้งคู่ทำให้ความเจ็บปวดที่มีค่อยๆ
จางหายไป ยงกุกที่เพิ่งจะฟื้นกำลังอุ้มเจโล่ไปวางลงบนเตียงคนไข้ของตัวเอง
ก่อนจะเริ่มโลมไล้ความสุขให้คนเสียขวัญอย่างนุ่มนวล
นิ้วเรียวยาวกำลังสัมผัสผิวนุ่มเนียนของร่างบาง ริมฝีปากหนากำลังดื่มกินความหวานจากริมฝีปากเรียวสวย
ลิ้นยาวกำลังล่วงล้ำเพื่อลิ้มรสความอร่อยของอีกคนอย่างตะกละ
เสื้อของเจโล่ถูกรื้อขึ้นจนถึงลำคอเรียวยาว
มือเล็กๆ ได้เพียงเกาะกุมไว้ที่ไหล่ของคนที่กำลังกลืนกินเขาอยู่
สัมผัสของยงกุกทำให้เจโล่แทบทนไม่ไหวจนเผลอข่วนไหล่งามของอีกคนจนเลือดซิบ
ร่างบางที่เริ่มจะปล่อยอารมณ์ไปตามแรงปลุกเร้าของร่างหนากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“พี่ยงกุกฮ่ะ อ้า!!”
ยงกุกถอยริมฝีปากหนาออกจากอกสวยของอีกคนที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงเพราะฝีมือของตัวเอง
“พี่จะไม่หยุดแค่นี้แล้วนะครับ!”
ยงกุกพูดก่อนจะปลดกระดุมเสื้อคนไข้ของตัวเองออก
และจัดการคร่อมอีกร่างเอาไว้
ตามด้วยการประโลมรักหวาบหวามให้คนที่เริ่มจะกอดเขาแน่นขึ้น
ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ
สองร่างที่กำลังจะรวมกันเป็นหนึ่งได้แต่ทอดถอนหายใจทิ้ง
เพราะถูกขัดจังหวะอีกครั้งแล้ว
“เฮ้อ!! ทำไมถึงมีแต่คนชอบขัดจังหวะเราจังนะ” ยงกุกต้องสงบสติตัวเองเล็กน้อยไม่ให้โมโห
ต่างจากอีกคนที่กำลังหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากเรียวเล็กที่ออกสีเรื่อจากรสจูบของอีกคน
อย่างน้อยๆ ก็ยังโชคดีที่ทั้งคู่ยังไม่ได้ปลุกเร้าจุดสำคัญให้ตื่นขึ้นมา
ไม่งั้นคงมีปัญหาแน่ๆ
“ครับ!!” ยงกุกเลือกที่จะเดินไปเปิดประตูซะเอง
เพราะเจโล่ยังคงข่มอารมณ์เขินอายของตัวเองได้ไม่หมด
“ยงกุกฟื้นแล้วหรอ??”
ยองเบที่เดินเข้ามาก่อนพูดทักอย่างรู้ทัน
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเพื่อนอีกสองคน
แดซองและซึงรีที่เอ็นดูและรักเจโล่ไม่มากไม่น้อยกว่ายองเบเลยก็เดินเข้ามานั่งที่โซฟารับแขกภายในห้อง
ก่อนจะไล่ให้ยงกุกกลับขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้ตามเดิม
แต่ทั้งสามก็ต้องหงุดหงิดเพราะเจโล่ดันเดินตามไปนั่งลงข้างๆ ยงกุกที่เตียง
“น้าจะไม่อ้อมค้อมนะเจโล่!! เจโล่กับยงกุกเป็นอะไรกัน??” ยองเบถามออกมาทั้งๆ
ที่รู้อยู่แล้ว
“ผมกับเจโล่เรารักกัน!!”
ยงกุกรู้ดีว่าคำถามนั้นถามเขาไม่ใช่เจโล่
“รักแบบไหน?” ซึงรีโพลงถามขึ้นมาอย่างสงสัยใคร่รู้
“รักแบบคนรัก!!” เจโล่ทำตัวไม่ถูกจึงกลายเป็นนั่งบิดไปบิดมาเพราะทำอะไรไม่ถูก
แม้แต่กับพ่อกับแม่เขาสองคนก็ยังไม่เคยออกปากยอมรับแบบนี้
เจโล่ตอนนี้เริ่มจะกัดเล็บซะแล้วสิ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้มั้งเจโล่!!”
แดซองยิ้มให้เจโล่อย่างใจดี
“นายจะแต่งงานกับเจโล่รึเปล่า??”
ซึงรีดูเหมือนจะเป็นคนที่กวนประสาทคนได้เก่งไม่แพ้แดฮยอน
เพราะแต่ละคำถามของเขามันทำให้คนฟังปวดหัวไม่ใช่เล่น
“แต่งสิครับ!! สิบแปดเมื่อไหร่ผมจะพาเจโล่เข้าโบสถ์เลย!!!” เจโล่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตาโต
“พี่ยงกุกจะแต่งงานกับผมหรอฮ่ะ?”
เจโล่ถามยงกุกแบบเขินๆ จริงๆ เขาก็อยากจะแต่งเหมือนกัน
เพราะรูปถ่ายวันแต่งงานของพ่อกับแม่ทำให้เจโล่ฝันถึงวันแต่งงานมาตลอด
แต่จะต่างกันก็ตรงที่เขาเป็นผู้ชายนี่แหล่ะ
“แต่เจโล่ต้องใส่ชุดเจ้าสาวนะครับ!!”
คำพูดของยงกุกทำเอาคุณน้าทั้งสามหัวเราะลั่นห้อง
“ฉันละยอมแพ้นายเลยยงกุก
เอาเป็นว่าฉันยอมรับนายในฐานะคนรักของเจโล่ก็ได้ แล้วก็อีกอย่างนึง
นี่มันโรงพยาบาลนะถ้ายังไงรอกลับถึงบ้านก่อนค่อยทำอะไรตามใจอยากนะรู้ไหม?? อย่าให้มันเหมือนซึงฮยอนกับเซริวให้มากขนาดนี้ก็ได้นะ” เหมือนหรอ? เหมือนที่ว่านี่คืออะไรกันนะ
“พ่อฟื้นแล้วหรอฮ่ะ?”
เจโล่ที่ได้ยินว่าพ่อได้สติก็รีบจะวิ่งไปหา
แต่ก็โดนคุณน้าทั้งสามขวางทางเอาไว้ก่อน
“หลีกทางสิฮ่ะ
ผมจะไปหาพ่อนะ!” เจโล่บ่นออกมาเพราะไม่เข้าใจว่าจะมาขวางเขาไว้ทำไม
“ก็นะ.. สองคนนั้นก็กำลังทำอะไรแบบเดียวกับที่เจโล่กับยงกุกกำลังจะทำนั่นแหล่ะน่า”
แดซองพูดออกมาทั้งๆ ที่ยิ้มกว้าง
“งั้นพวกน้าไปดีกว่า
ส่วนพวกนายจะต่อจากเมื่อกี้ก็ได้นะ ฉันจะไม่ไปฟ้องซึงฮยอนกับเซริวหรอกนะ!!”
ซึงรีพูดแซวทั้งคู่ก่อนจะเดินออกไป
ทิ้งให้เจโล่ที่โดนจับได้ไล่ทันเขินม้วนต้วนอยู่คนเดียว
ส่วนยงกุกนะหรอจะอายเขาไม่เคยสนอะไรอยู่แล้ว ก็เขารักของเขาใครจะทำไม?
ที่ห้องคนไข้ที่ไม่ห่างกันนัก
กำลังมีคู่รักอีกคู่กำลังงอนง้อกันไปมาอย่างน่ารัก
“ยองแจอ่ะ
พี่ขอนอนเตียงเดียวกับยองแจไม่ได้หรอครับ?” ฮิมชานพยายามลากสังขารของตัวเองขึ้นเตียงของยองแจตั้งแต่ที่กลับมาในห้องแล้ว
“ในห้องนี่มีตั้งสองเตียงแล้วทำไมต้องมาแย่งผมนอนด้วยเล่า!”
ยองแจรู้ดี
ว่าถ้าเขายอมให้คนอย่างฮิมชานนอนเตียงเดียวกันคงลงเอยแบบเดิมๆ
คือเขาคงถูกฮิมชานกินทั้งตัวอีกแน่
“ไม่รักพี่เลยรึไงนะยองแจเนี่ย?
พี่เจ็บขนาดนี้ยังจะใจร้ายเหมือนเดิมไม่มีผิด” ฮิมชานที่เริ่มจะน้อยใจนิดๆ
ก็กลับไปนอนเตียงตัวเองก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาคุมโปงและนอนหันหลังให้อีกคน
ยองแจที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ
ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากใจร้ายใส่ฮิมชานสักหน่อยก็อีกคนเพิ่งจะโดนกระทบมาเมื่อวาน
แล้วถ้าวันนี้เขาปล่อยให้ทำอะไรต่อมิอะไรมีหวังไม่ได้หายกันสักทีอ่ะงานนี้
“พี่ฮิมชาน!” ยองแจอยากจะง้อนะ แต่เขาไม่ใช่คนปากหวานหรือขี้อ้อนแบบเจโล่กับจองอบ
น้ำเสียงที่เอ่ยเลยกลายเป็นดุกลายๆ ยิ่งทำให้ฮิมชานงอนไปกันใหญ่
“พี่ก็นอนของพี่แล้วไง
จะมาบ่นอะไรอีกเล่า?” ฮิมชานตะโกนออกมาจากในผ้าห่ม
ทำเอายองแจยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“พี่เนี่ยนะ! ถ้าไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลสักทีไม่ต้องมาโทษผมเลยนะ!!” ว่าแล้วยองแจก็เดินไปล็อคประตู ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงของฮิมชานแทน
ว่าแล้วก็จับฮิมชานให้นอนหงายก่อนจะเริ่มปลดกระดุมของคนที่กำลังอึ้งรับประทาน
“ไม่ต้องมาจ้องผมเลย
ถ้าทำขนาดนี้แล้วยังไม่เลิกงอนผมจะไม่ง้อแล้วนะ!!” ว่าแล้วยองแจก็ค่อยๆ
ปลดกระดุมเสื้อตัวเองออกให้พอหลุดจากไหลก่อนจะปล่อยให้ล่วงไปข้างหลัง
“ยองแจอ่า!” ฮิมชานที่เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบลุกพรวดขึ้นมากอดยองแจเอาไว้แน่น
“ที่นี้จะมาหาว่าผมไม่รักไม่ได้นะ”
ยองแจดูเหมือนจะถูกฮิมชานกดดันมากเกินไปหน่อยก้เริ่มร้องไห้ออกมา
ก่อนจะโน้มตัวไปซบไหล่ของฮิมชาน อกอุ่นๆ
ของฮิมชานทำให้ยองแจยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ผมแค่เป็นห่วงพี่นะ ผมกลัวว่าพี่จะไม่หายนี่หน่า
เมื่อวานก็โดนกระทืบซะขนาดนั้น” ยองแจพูดต่อว่าต่อขานให้ฮิมชานที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย
“ก็พี่เจ็บนี่ครับ
พี่ก็เลยอยากให้ยองแจปลอบพี่อ่ะ!” ฮิมชานพูดก่อนจะจับคนร้องไห้ไม่หยุดมาจูบอย่างใจเย็น
มือที่วางไว้ที่สะโพกดูเหมือนจะรู้งานเป็นอย่างดี เพราะตอนนี้มันกำลังเลื่อนไปปลดกางเกงของอีกคนออกอย่างคุ้นเคย
เล่นเอาคนกำลังร้องไห้ถึงกับร้องไม่ออก
“พี่ฮิมชานนะ!” ยองแจรู้สึกเขินเล็กน้อย เพราะฮิมชานกำลังมองเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“วันนี้ยองแจขย่มเองนะครับ
พี่ไม่มีแรงอ่ะ!” จริงๆ เขาแค่อยากจะกอดยองแจนอนเท่านั้น
แต่เจ้าตัวดีก็ดันมายั่วให้มีอารมณ์
แต่จะออกแรงเองก็ยังไม่ได้ซะด้วยเพราะยังปวดไปทั้งตัวหลังจากโดนกระทืบมามาวาน
“คิมฮิมชาน!!” ยองแจรู้ว่าฮิมชานหมายถึงอะไร
“พี่โดนกระทืบจนขยับตัวไม่ไหวนี่หน่า
แต่ยองแจมายั่วเขาเองนะ” ว่าแล้วฮิมชานก็จับยองแจให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมก่อนจะเริ่มเกมส์ให้ก่อนเล็กน้อยเพื่ออีกคนจะได้สานต่อได้สะดวก
“อ่า!! พี่ฮิมชานนี่” ยองแจรู้สึกเขินเล็กน้อยที่วันนี้เขาต้องเป็นฝ่ายลงแรงเสียเอง
แต่ก็จนปัญญาจะต้านสัมผัสของอีกคนอีกพยายามยัดเยียดให้เขา
“อย่างนั้นแหล่ะครับยองแจ
แบบนั้นแหล่ะ” ฮิมชานที่ได้รับสัมผัสตอบกลับจากยองแจก็เริ่มจะส่งเสียงออกมาอย่างพอใจให้ผลงานของคนขี้อาย
“จูบผมหน่อยสิฮ่ะ” ยองแจพูดออกมาเบาๆ ที่ข้างหูของฮิมชานในขณะที่กำลังสวมกอดอีกคนอยู่
ทั้งที่เขินอาย
ทั้งที่ไม่เคยจะลงแรงเองสักครั้ง
แต่ยองแจก็ทำให้ฮิมชานพอใจในลีลาร้อนได้ไม่น้อยเลย
“วันหลังทำแบบนี้อีกนะครับ
ยองแจของผม!” ฮิมชานพูดก่อนจะเริ่มลงมือช่วยยองแจอีกแรง
เพื่อให้พวกเขาซึมซับความสุขนี้ได้มากที่สุด
หลังจากลีลารักครั้งแรกของยองแจทั้งคู่ก็หมดแรงจนต้องนอนกอดกันกลมบนเตียงคนไข้ก่อนจะหลับไปด้วยกันทั้งคู่
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น