รุ่งเช้าของวันต่อมาหลังจากผ่านค่ำคืนแสนหวานทั้งยงกุกและเจโล่ยังคงนอนกอดกันแน่นไม่ต่างจากทุกครั้ง
เสียแต่ว่าครั้งนี้เป็นเจโล่ที่ตื่นมามองยงกุกที่กำลังหลับใหลเพราะความเมื่อยล้า
เจโล่ลุกขึ้นจากเตียงลงไปที่ชั้นล่างโดยไม่ลืมที่จะจุมพิตเบาๆ
ก่อนผละตัวออกมา
“ทำไมวันนี้พี่ยงกุกหล่อกว่าทุกวันได้ล่ะเนี่ย?”
พูดเองเออเองแล้วก็เขินเอง
เจโล่ที่เขินกับเรื่องเมื่อคืนก็รีบเดินลงชั้นล่างเพื่อเตรียมอาหารให้ยงกุก
ข้าวต้มปลาที่กำลังเดือดส่งกลิ่นหอมชวนทานลอยกรุ่นไปทั่วบ้าน
ว่าแต่ครั้งนี้มันจะเค็มเหมือนครั้งที่แล้วรึเปล่านะ
“แม่บอกว่าห้ามไม่ให้ใส่เกลืออีกเด็ดขาด
ค่อยให้พี่ยงกุกเติมเอาเองแล้วกันนะ”
แต่ดูเหมือนกลิ่นอาหารจะลอยขึ้นไปปลุกคนสลบอยู่บนเตียง
ยงกุกที่ได้กลิ่นหอมก็รีบตื่นมาดูว่าอีกคนทำอะไร
ส่วนอีกใจเขาแค่อยากจะให้แน่ใจว่าจะไม่เค็มเหมือนครั้งก่อนๆ
“ตื่นแล้วหรอฮ่ะพี่ยงกุก!”
เจโล่ยิ้มตอนรับยงกุกที่เพิ่งตื่น
เป็นภาพที่ดูไม่ต่างจากคู่รักแต่งงานใหม่
เพราะยงกุกที่เห็นเจโล่ทำอาหารก็เดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง
เอาคางวางบนไหล่ของเจโล่ก่อนจะหอมแก้มคนรักหนึ่งฟอด
“พี่ยงกุกอ่ะ”
เจโล่เขินกับการทักทายแบบใหม่ของยงกุก แต่ก็อดชอบใจไม่ได้จนยิ้มไม่หุบ
“คราวนี้พี่กินได้แน่นะเนี่ย
กลิ่นหอมมากเลย” ยงกุกแกล้งหยอกเจโล่เล่นเพราะเห็นอีกคนกำลังเขิน
“ผมยังไม่ได้ใส่เกลือเลยนะ
พี่ยงกุกช่วยผมปรุงหน่อยสิฮ่ะ” ยงกุกจับช้อนตักน้ำซุปมาชิมก่อนเพื่อจะได้รู้รสว่าควรปรุงยังไง
“อืม
จืดสนิทเลย!” ยงกุกพูดออกมาพลางหัวเราะใส่เจโล่ที่กำลังบุ้ยปากอย่างเซ็งๆ
“เติมเกลืออีกนิดก็ใช้ได้แล้วล่ะ”
ว่าแล้วยงกุกก็หยิบกระปุกเกลือมาก่อนจะเทเกลือเล็กน้อยลงบนทัพพีให้เจโล่ดูเป็นตัวอย่าง
“เจโล่แค่ชิมก่อน
แล้วก็ค่อยๆ เติมส่วนผสมลงที่นิด อย่างเกลือก็ใส่สักหนึ่งช้อนชาก่อน พอใส่ลงไปแล้วก็คนให้มันละลายดีแล้วก็ชิมดูว่ารสชาติเป็นยังไง
แต่ครั้งต่อไปต้องใส่ทีละน้อย ไม่งั้นจะเค็มเหมือนตอนนู๊น!!”
นอกจากจะกอดไม่ยอมปล่อยแล้ว
แม้แต่ตอนสอนทำกับข้าวยงกุกก็ยังกอดเจโล่อยู่ในท่าเดิมจนสุดท้ายเจโล่ต้องบ่นใส่เพราะเริ่มจะอึดอัด
“จะปล่อยผมได้รึยังฮ่ะเนี่ย
พี่กอดผมแบบนี้ผมก็ทำอาหารลำบากสิฮ่ะ” แต่ยงกุกหอมแก้มเจโล่แทนคำตอบ
เพราะเขายังอยากกอดเจโล่ต่อ
“ที่เมื่อคืนยังเอาแต่บอกให้พี่กอดแน่นๆ
อยู่ทั้งคืนเลย ทำไมตอนนี้ไม่อยากให้กอดแล้วหรอ?”
เจโล่ที่ได้ยินยงกุกพูดแบบนั้นก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่
มันจริงที่เมื่อคืนเขาเอาแต่ขอให้ยงกุกกอดเอาไว้
และเขาเองก็ชอบที่ยงกุกทำแบบนั้นมากเลยด้วย
“พี่ยงกุกอ่ะ
ฮึ!” เจโล่ค้อนใส่ยงกุกเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าห้ามพูดเรื่องเมื่อคืน
“ไม่พูดแล้วครับ
พี่ไม่พูดแล้วก็ได้” ยงกุกชอบที่เจโล่เขินแบบนี้มันทำให้เจโล่ยิ่งน่ารักเข้าไปกันใหญ่
ว่าแล้วก็หอมแก้มอีกฟอด
“พี่ไปนั่งรอที่โต๊ะนะครับ”
ยงกุกไม่รอให้เจโล่โต้ตอบความขี้เล่นของเขา
เขาจึงรีบไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารแทน
แล้วก็เอาแต่จ้องอีกคนที่กำลังทำอาหารอย่างตั้งใจ
“เสร็จแล้วฮ่ะ! ไม่เค็มด้วยแหล่ะ!!” เจโล่หันมายิ้มให้ยงกุกหลังจากปรุงอาหารเสร็จเรียบร้อย
ส่วนยงกุกก็รีบลุกไปยกอาหารมาที่โต๊ะเพื่อช่วยเจโล่อีกแรง
“ว่าแต่พี่ยงกุกไม่ต้องไปหาหมอหรอฮ่ะ
แผลที่หลังมันใหญ่เอาเรื่องอยู่นะ” เจโล่เป็นห่วงยงกุกมาก
เพราะเขาเห็นแผลเต็มตัวยงกุกไปหมด ส่วนมากก็เป็นรอยช้ำที่มีแพ้ถลอกนิดหน่อย
แต่ที่หลังเหมือนจะเป็นแผลเปิดที่ยาวพอสมควร
“ไปก็ได้ครับถ้าเจโล่ของพี่จะทำหน้าแบบนั้นนะ”
ยงกุกยอมรับว่าเขาเองไม่อยากไปหาหมอ เขาชินกับแผลแบบนี้ซะแล้ว
แต่ครั้งนี้คงต้องไปหาหมอไม่งั้นเจ้าตัวยุ่งของเขาคงทำหน้ามุ่ยแบบนี้ไปอีกหลายวันเลย
“ว่าแต่..”
ยงกุกกำลังมองหน้าเจโล่อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพูดอีกคำที่ทำเอาเจโล่แทบจะขว้างหม้อข้าวต้มตรงหน้าใส่
“เจโล่ไม่เจ็บเลยหรอ
ที่พี่ทำเมื่อคืนนะ” เจโล่หันมามองยงกุกที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เขาก่อนจะทุบที่อกยงกุกไปสองสามที
“ใครบอกไม่เจ็บเล่า
เจ็บจนจะยืนไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย” เจโล่บุ้ยปากใส่คนบ้าที่มาถามคำถามชวนโมโหแต่เช้า
“งั้นลุกขึ้นมาทำไมแต่เช้าครับเนี่ย?”
ยงกุกอุ้มเจโล่ไปวางลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร
ก่อนจะเดินกลับไปยกข้าวต้มที่เจโล่อุตส่าลุกมาทำให้
“ก็พี่มีแผลเต็มตัวเลยนี่ฮ่ะ
ผมอยากให้พี่กินข้าวจะได้กินยาอ่ะ” เจโล่เบะปากใส่ยงกุกที่กำลังมองเขาอย่างเอ็นดู
“งั้นเจโล่ก็ต้องกินยาเหมือนกันนะ
ไม่งั้นแผลของเจโล่ก็อาจจะไม่หายนะ” คำพูดของยงกุกเล่นเอาเจโล่ตาโต
เพราะจริงอย่างยงกุกว่า เขาเองก็คงได้แผลมาเหมือนกันจากเรื่องเมื่อคืนนี้
“พี่ยงกุกอ่าห์!!!”
ยงกุกยิ้มหวานโชว์เหงือกให้เจโล่ก่อนจะลงมือสวาปามข้าวต้มจนเกลี้ยง
คนสองคนที่รักกันมากกำลังมองตากันหวานฉ่ำรับยามเช้าที่แสนจะสดใส
จะมีภาพไหนที่ทำให้คุณอิจฉาได้มากไปกว่านี้อีกคงไม่มีสินะ
เพราะสายตาที่มองอีกคนมันเต็มไปด้วยคำรักมากมายที่ถูกส่งไป
จนในตอนนี้บรรยากาศรอบตัวของทุ่งคู่จึงมีแต่คำว่ารักลอยตลบอบอวลอยู่เต็มไปหมด
ต่างจากอีกคู่ที่กำลังงอนง้อกับตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้ก็ยังคงงอนกันอยู่
“ยองแจไม่หิวข้าวหรอครับ
พี่ฮิมชายคนนี้อุตส่าทำอาหารเช้าสุดฝีมือเพื่อยองแจเลยนะครับเนี่ย” ยังมีหน้าจะมาบอกให้กิน ทีเมื่อวานยังว่าฉันอ้วนอยู่เลย
แล้วนี่จะมาชวนกินเนี่ยนะ
“ไม่หิว
อยากกินก็กินไปคนเดียวสิ” ผมไม่ได้แกล้งอดข้าวประชดรึอะไรนะ
แต่โกรธจนกินไม่ลงเลยต่างหากล่ะ
“ยองแจอ่า
ยังโกรธเขาเรื่องเมื่อวานอยู่อีกหรอครับ?” ฮิมชานง้อยองแจแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
แถมยังถูกผลักให้ออกมานอนนอกห้องของตัวเองด้วย
“ฮิมชานสำนึกผิดแล้วครับ
ยองแจหายโกรธเขานะที่รัก” ฮิมชานเก่งที่สุดเรื่องกวนโมโหคน
แต่ที่เขาเก่งที่สุดก็คือเรื่องการง้อคนนี่แหล่ะ
ส่วนยองแจก็ดูเหมือนจะเริ่มใจอ่อนนิดๆ หรือเพราะว่าหิวก็ไม่ทราบได้
“ผมจะขี่หลัง! ถ้าไม่ให้ขี่หลังก็ไม่ต้องมาพูดกับผม” เขาเพียงต้องการเอาชนะฮิมชานเท่านั้น
ถ้าฮิมชานยอมเรื่องทุกอย่างก็คงจบ
เมื่อยองแจเปิดประตูออกไปก็พบว่าฮิมชานนั่งย่อเข่าอยู่กับพื้นและหันหลังเตรียมเอาไว้แล้ว
“โกรธที่ไม่ยอมให้ขี่หลังหรอเนี่ย?”
ฮิมชานหันมาทำหน้าอ้อนใส่ยองแจ
“ก็ผมอยากทำแบบเจโล่บ้างนี่หน่า
มันน่ารักออกจะตายไป” ยองแจยอมแพ้ในที่สุด
“พี่ผิดไปแล้ว
คราวนี้จะแบกยองแจทั้งวันเลยดีไหมครับ?”
“ถ้ายอมให้ผมขี่หลังตั้งกะเมื่อคืนก็คงไม่ต้องมาง้อให้ลำบากแบบนี้หรอก
ชิ!” แต่คนปากร้ายก็ยอมขี่หลังคนสำนึกผิดแต่โดนดี
“พี่ก็แค่ล้อเล่นน่า
ยองแจอ่ะดันงอนพี่จริงๆ นี่ ว่าแต่เมื่อคืนพี่เหงามากเลยนะ” ว่าแล้วมือที่จับขายองแจเอาไว้ก็เริ่มเล่นซุกซนจนคนอยู่บนหลังต้องรีบดีดตัวออก
“ไอ้พี่เหยินเล่นไรเนี่ย?”
แต่ฮิมชานดันยิ้มโชว์ฟันล้ำหน้าใส่ยองแจแบบไม่รู้สึกผิดแทน
“ผมจะไม่ขี่หลังพี่อีกแล้ว
ตาบ้า!!!” หลังจากด่ายองแจก็รีบวิ่งหนีฮิมชานไปโต๊ะอาหารอย่างไว
เพราะเริ่มห่วงบั้นท้ายงามของตัวเองจะโดนลวนลามอีกรอบ
“หิวมากเลยหรอกินซะเยอะเชียว
เมื่อกี้ยังบอกพี่ว่าไม่หิวอยู่เลยไม่ใช่หรอ” ยองแจที่โดนกวนประสาทไม่ยอมหยุดจึงตอบโต้กลับด้วยคำพูดที่ทำให้ฮิมชานดีใจจนฟันออกนอกหน้าอีกรอบ
“ไหนบอกว่าเมื่อคืนเหงาไง
คนอุตส่ากินเยอะๆ จะได้มีแรงยังจะมาพูดมากอีก” ยองแจที่ดูเหมือนจะไม่คิดอะไรแต่กลับต้องอายหน้าแดงเพราะโดนเท้าซนๆ
ของอีกคนเขี่ยขาของตัวเองอยู่
“หยุดเลยนะพี่ฮิมชาน
ผมกินข้าวอยู่นะ!!” ตาเหยินบ้า
ให้กินข้าวเสร็จก่อนไม่ได้รึไง
“กินๆ
เข้าไปเลยนะ” นี่คนนะเขี่ยอยู่ได้
เดี๋ยวก็กินข้าวไม่อิ่มกันพอดีอีพี่เหยินนิ
“คร๊าบผม!! จะกินเยอะๆ เลยจะได้มีพลังงานเหลือเฟือเพื่อน้องยองแจของพี่” ทำไมต้องมาทำหน้าหื่นใส่ตอนกินข้าวด้วยเนี่ย?
“ว่าแต่อีพี่ดำมันจะเป็นไรมากรึเปล่าเนี่ย
ผมเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี่แหล่ะ ป้าไม่เคยพูดถึงสักที
แถมก็ไม่ค่อยจะโผล่หน้ามาด้วย ว่าแล้วก็ชักจะสงสารอีพี่ดำขึ้นมานิดๆ ซะแล้วสิ”
ส่วนฮิมชานที่ฟังยองแจบ่นก็ได้แค่รับฟัง ใครจะไปเชื่อว่าอยู่ดีๆ
ก็เป็นญาติกันขึ้นมาซะอย่างนั้นนะ
“ห่วงไอ้แด้มันหรอ?”
ฮิมชานถามยองแจเพราะอ่านจากสีหน้าของอีกคน
“ไม่ห่วงก็แปลกแล้ว
จริงๆ มันก็เกี่ยวกับผมนะ ยังไงอีพี่ดำก็ญาติผมอยู่ดีนี่หน่า” หลังจากบ่นได้สักพักยองแจก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
เพราะเขายังไม่อยากคิดอะไรมากในตอนนี้
แต่ที่สำคัญคือต้องโทรไปบอกป้าแดซองว่าคนที่ป้าเคยรักนะยังไม่ตาย
แถมตอนนี้ก็รู้เรื่องแดฮยอนเข้าแล้วด้วย
“รีบกินแล้วไปบ้านอีพี่ดำเถอะฮ่ะ
ผมชักจะห่วงยังไงก็ไม่รู้อ่ะ” แต่คำที่ยองแจพูดออกมาเล่นเอาฮิมชานหัวเสียใหญ่
“ไหนบอกจะทำให้พี่หายเหงาอ่ะ
ยองแจอ่าห์??” ฮิมชานพยายามทำหน้าอ้อนใส่ยองแจให้มากที่สุดในสามโลก
แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะฮิมชานมักจะทำอะไรที่เกินกำลังยองแจเสมอเขาจึงโดนยองแจคาดโทษอยู่บ่อยๆ
ได้อย่างมากก็อาทิตย์ละสามครั้งอ่านะ ด้วยเหตุผลของยงแจที่ว่า ถ้าผมตามใจพี่
มีหวังชาตินี้คงไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว
ส่วนตอนนี้เจโล่กับยงกุกก็ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยและยงกุกก็ตามใจเจโล่ยอมไปโรงพยาบาลแต่โดยดี
“อย่างน้อยก็ให้หมอตรวจดูนะฮ่ะ”
ยงกุกที่โดนเจโล่อ้อนใส่ก็สุดจะค้าน
“แล้วถ้าพี่ยอมไปหาหมอ
พี่จะได้อะไรเป็นรางวัล?” แต่ก็ยังไม่วายจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่อีกคน
“ก็ได้ไปหมดแล้วยังจะเอาอะไรอีกเล่าพี่ยงกุกนี่!!”
เจโล่ที่จนปัญญาจะสู้กับคนเจ้าเล่ห์ก็บ่นออกมาอย่างเซ็งๆ
แต่กลับกลายเป็นว่าถูกใจคนฟังอย่างแรง
ยงกุกดึงตัวเจโล่เข้าไปกอดทันทีที่ได้ยินคำที่เจโล่พูด
“ถ้างั้นคืนนี้พี่ขอทำแบบเมื่อคืนนะครับ”
ยงกุกกระซิบที่ข้างหูของเจโล่ก่อนจะหอมแก้มขาวที่เริ่มแดงเพราะคำพูดน่าอายของยงกุก
“พี่ยงกุกอ่าห์”
เจโล่เบะปากใส่ยงกุกพร้อมกับสะบัดหน้าหนี แถมยังกอดอกใส่อีกคน
ส่วนคนมองก็ยิ่งอยากกอดเข้าไปใหญ่ที่เห็นอีกคนทำท่าทางน่ารักๆ
“อืมม
อย่าโกรธสิครับ” ว่าแล้วก็ซบหน้าลงที่ไหล่ของเจโล่อย่างอ้อนๆ
“งั้นอย่าแกล้งผมอีกนะ!!”
ยงกุกเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจโล่พร้อมโปรยยิ้มพราวเสน่ห์ใส่
“สัญญาครับ!!”
ก่อนจะมอบจุมพิตเบาๆ ให้ริมฝีปากเรียวเล็ก
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น