uncopy

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

1st 06 เสียงหัวเราะ

            ตั้งแต่มาถึงบ้านของผมไม่มีนาทีไหนเลยที่เจโล่จะหยุดอยู่นิ่งๆ เริ่มตั้งแต่ที่เข้ามาในประตูรั้วก็วิ่งวุ่นไปทั่วสวนเล็กๆ ที่หน้าบ้านจะเรียกว่าสวนได้ไหมนะเพราะมันมีแค่ต้นไม้ที่ถูกปลูกมานานกับหญ้าที่ขึ้นรกตามธรรมชาติ หลังจากนั้นก็รีบเบียดตัวเข้าบ้านทันทีที่ผมเปิดประตูเสร็จ หลังจากนั้นก็สำรวจทั่วบ้านหลังเล็กของผม แต่ที่น่าปวดหัวก็คงเป็นตอนที่เข้าไปสำรวจห้องนอนของผมนั่นแหล่ะ ถึงจะอยู่คนเดียวแต่เตียงของผมก็ดันเป็นที่นอนสำหรับนอนสองคนอยู่ดี ทำไงได้ เพราะมันเป็นที่นอนของพ่อกับแม่ที่ตายไปแล้ว และผมแค่อยากจะอยู่ใกล้ท่านให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง นั่นจึงเป็นเรื่องที่ผมทำผิดพลาดอย่างหนึ่ง เพราะทันทีที่เห็นว่ามีเตียงใหญ่น่านอนในห้องของผม เจโล่ก็จัดการเก็บข้าวของตัวเองเสร็จสรรพ และถ้าผมจะห้ามก็คงโดนระเบิดความน่ารักใส่อีกดอกเป็นแน่ ที่น่ากังวลอีกอย่างก็เจ้าชุดนอนที่อุตส่าหาซื้อมาให้ผม และผมมั่นใจว่าผมต้องใส่ถึงแม้จะไม่ชอบก็ตามที
            “เจโล่อ่า!” ก็แค่อยากให้สนใจผมอีกสักนิด เพราะตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาไม่มีเวลาไหนที่เจโล่ไม่ขยับ ซึ่งมันก็ทำให้ผมปวดหัวเล็กน้อยก็ดันเล่นมองตามจอมยุ่งไม่ว่างตาเองนี่นะ
            “คร๊าบผม! พี่ยงกุกเรียกผมทำไมหรอฮ่ะ?” ตากลมๆ กำลังจ้องผมด้วยความสงสัย
            “จัดของเสร็จทำอะไรให้พี่กินหน่อยสิ พี่หิวแล้ว!” ก็ไม่ได้หิวอะไรหรอก แค่อยากจะกินอาหารที่ไม่ใช่ผมเป็นคนทำนะ ผมเบื่อรสชาติอาหารของตัวเองถึงแม้ว่ามันจะอร่อยก็ตาม ยิ่งต้องนั่งกินในบ้านหลังนี้ ผมยิ่งกินอาหารที่ตัวเองเป็นคนทำได้ยากมากขึ้น อาจจะพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมเหงาและเศร้าที่สุดก็เป็นได้
            “ผมทำอาหารไม่เก่งฮ่ะ ทำได้แค่ไม่กี่อย่างแถมไม่อร่อยด้วยนะ พี่ยงกุกจะกินไหวหรอฮ่ะ??” เจ้าตัวยุ่งของผมกำลังทำหน้าจริงจัง สงสัยว่าจะห่วงเรื่องรสชาติอาหารของตัวเองอย่างจริงจัง     
            “ลองดูแล้วกัน พี่คงไม่ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม” แต่รสชาติอาหารของผมมันแย่สุดๆ เลยนะฮ่ะ ถึงผมจะกินได้แต่พ่อกับแม่เคยบอกให้ผมสั่งอาหารมากินจะดีกว่าก็เถอะ
            “จะพยายามสุดฝีมือเลยฮ่ะ” มือสองข้ามกำหมัดแน่นแสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจัง แต่มันไม่เข้ากับบุคลิกของคนที่ทำนี่สิ ออกแนวคุณหนูสู้ตายมากกว่า
            และแล้วช่วงเวลาแห่งการรอคอยอาหารของยงกุกก็เริ่มต้นขึ้น เจโล่ใช้มีดปาดผักแล้วก็พวกเนื้อสัตว์ได้อย่างคล่องมือ ตอนที่จุดแก๊สทำอาหารหรือแม้แต่ท่าทางจับตะหลิวก็ดูดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนอาหารก็มีกลิ่นหอมไม่มีกลิ่นน่าสงสัย ส่วนข้าวที่เจ้าตัวหุงก็กำลังสุกขึ้นหม้อดี จนทำให้ยงกุกตายใจไปกับสิ่งที่เห็น
            หลังจากยุ่งกับการปรุงอาหารให้พี่ชายได้กินเป็นครั้งแรก ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย คนเป็นพี่ที่นั่งรอที่โต๊ะอาหารที่อยู่ไม่ไกลโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างสวยงาม ข้าวถูกตักใส่ชามวางหน้าคนรอพร้อมกับตะเกียบและช้อนสำหรับตักซุป
            “เล่นเอาของในตู้เย็นมาทำซะเกือบหมดแบบนี้ แต่พี่ก็ยังไม่รู้จะเรียกอาหารตรงหน้ายังไงดีนะเหมือนกัน เจโล่ตั้งชื่อไว้รึเปล่าเนี่ย?” ที่ถามก็ไม่ได้กะจะกวนน้องหรอกนะ แต่เพราะอาหารที่เจโล่ทำน่าตาไม่ค่อยเหมือนอาหารเกาหลีสักเท่าไหร่
            “อันนี้แกงจืดฮ่ะ ตอนอยู่ญี่ปุ่นคุณป้าข้างบ้านเคยทำให้กินอร่อยดีฮ่ะ มีหัวไชเท้ากับเนื้อหมูก็เลยทำอันนี้ให้พี่ ส่วนจานนี้เป็นผัดผักฮ่ะ ก็ในตู้เย็นพี่แทบไม่มีอะไรเลย ผมก็เลยทำได้แค่นี้อ่ะ” แกงจืดผมก็พอมองออกนะ แต่ไอ้ผัดผักรวมนี่สิ เจโล่เล่นใส่ทั้งพริกแดง พริกเขียว ไหนจะพริกหวาน สรุปง่ายๆ ในจานมีแต่พริกเป็นส่วนประกอบหลัก ที่ไม่ใช้พริกก็คงจะเป็นหอมหัวใหญ่นี่แหล่ะ สงสัยว่างานนี้คงต้องหาหมอแน่ๆ แต่คนตรงหน้านี่สิ ยิ้มหวานเชียว
            “กินเลยสิฮ่ะ เดี๋ยวเย็นก็ไม่อร่อยกันพอดี” แต่พอผมเริ่มจะตักเข้าปาก จากที่เจโล่ยิ้มหวานเมื่อกี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลแทนซะอย่างนั้น ผมควรจะขำคนตรงหน้าดีไหม ผมเริ่มเสี่ยงตายที่จานระทึกอย่างผัดพริกรวม แต่พอเริ่มเคี้ยวผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมพ่อกับแม่ของเจโล่ถึงขอให้เขาโทรสั่งอาหารมาแทน ผมรู้สึกได้ถึงความเผ็ดที่มาจากพริก แต่นั่นก็ยังไม่เท่าความเค็มที่ผมแน่ใจว่าเจโล่คงชอบเกลือเป็นพิเศษแน่ๆ แต่เพราะกลัวว่าเจโล่จะเสียใจผมเลยต้องฝืนตัวเองยืนมือไปตักน้ำซุปของแกงจืดมาล้างความเค็มในปาก แต่ว่า..
            “แค่กๆๆ” ผมกำลังจะสำลักความเค็มตาย ทุกอย่างที่เจโล่ทำมันมีรสเค็มนำลิ่ว มันไม่ใช่เค็มธรรมดาหรอกนะ แต่เค็มมากถึงมากที่สุด
            “ขอโทษฮ่ะ” ผมรีบเงยหน้ามองเจโล่ทั้งๆ ที่ยังสำลักอาหารไม่หยุด ปรากฏว่าเจ้าตัวยุ่งเริ่มมุ่ยหน้าซะแล้ว แต่เที่ยวนี้คงไม่ได้มุ่ยเพื่ออ้อนแน่ๆ เพราะตากลมเลยแดงก่ำพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
            “เจโล่อ่า พี่แค่รีบไปหน่อยนะเลยสำลัก ทำไมถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นล่ะฮือ แค่กๆๆ” แต่ผมก็ต้องรีบย้ายสังขารที่ช็อคความเค็มไปหาเด็กน้อยที่กำลังจะระเบิดร้องไห้
            “เจโล่ อึกๆ เจโล่แค่ ฮือๆๆๆ” ร้องไห้จริงๆ ด้วย ผมไม่เคยเห็นเจโล่ร้องไห้จริงๆ นะ ต่อให้โดนดุเขาก็ไม่เคยโกรธด้วยซ้ำมีแต่ยิ้มตอบ แล้วนี่มันอะไรกันผมทำให้เขาร้องไห้งั้นหรอ
            “ร้องไห้ทำไม? พี่ไม่อยากเห็นเจโล่ร้องไห้แบบนี้เลยนะรู้ไหม ทำไมเทวดาตัวน้อยของพี่ถึงร้องไห้แบบนี้ล่ะ เจโล่ไม่เคยร้องไห้เลยนะ พี่ทำอะไรให้เจโล่โกรธรึเปล่า??” ผมกำลังปวดใจที่เห็นเขาร้องไห้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าร้องไห้เรื่องอะไรก็เถอะ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงร้องไห้แบบนี้
            “ผม ฮือๆๆๆ”

“เจโล่อ่า! หยุดร้องไห้นะเด็กดีของพี่” เพราะกำลังงงไหนจะตกใจในรสชาติของความเค็ม แขนสองข้างของผมเลยดึงเจโล่เข้ามากอดโดยไม่ทันรู้ตัว เจโล่เองก็ซุกหน้าลงบนไหล่ของผมเช่นกัน
            เจโล่เป็นคนดึงตัวออกไปก่อน แต่ก็ยังสะอื้นไม่หยุด แถมน้ำตาก็ยังไหลไม่ยอมหยุดทั้งที่เจ้าตัวพยายามจะเช็ดออกจากแก้ม จนผมจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง แก้มใสที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยคราบน้ำตา ปากเรียวเล็กก็กำลังเบะออกเพราะสะอื้นร้องไห้ ทั้งสองมือของผมเลื่อนไปจับที่แก้มของเจโล่เพื่อเช็ดน้ำตาให้ แต่ความน่ารักของเขาคงมีมากเกินไปจนผมเผลอตัว
            ริมฝีปากหนาของยงกุกประทับลงเบาๆ ที่แก้มของเจที่ละข้างก่อนจะจ้องมองตากลมโตที่ตอนนี้น้ำตาหยุดไหลไปแล้ว แต่ดูเหมือนเจโล่จะยังตกใจที่โดนพี่ชายของเขาจูบลงที่แก้มแบบนั้น
            “พี่ยงกุกทำอะไรฮ่ะ?” เจโล่มองยงกุกอย่างต้องการคำตอบ
            “เจโล่เคยบอกพี่ว่าอมยิ้มคือความสุขของเจโล่ใช่ไหม?” เจโล่พยักหน้าตอบ
            “นี่ก็เป็นความสุขของพี่เหมือนกัน” พอยงกุกพูดจบ ริมฝีปากเรียวเล็กก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากหนาอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล ยงกุกไม่ทำไปมากกว่านั้นเขาเพียงแต่จูบด้วยต้องการจะปลอบโยนคนตรงหน้าเท่านั้น ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากเรียวเล็ก เจโล่ที่ก่อนหน้านี้หลับตาพริ้มก็ค่อยๆ ลืมตามองหน้าคนที่มอบจูบแรกให้กับเขา
            “พี่ยกความสุขของพี่ให้เจโล่นะ” ทั้งที่ทำเป็นปากดีบอกน้องไปแบบนั้น แต่ยงกุกเองกำลังจะอกแตกตายเพราะว่าหัวใจของเขามันเต้นแรงเหมือนจะโดดออกมาข้างนอก
            “ฮ่ะ” เด็กน้อยที่กำลังงุนงงกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ก็มีอาการไม่ต่างจากยงกุกสักเท่าไหร่ แต่ที่แย่กว่าหน่อยก็ผิวขาวๆ ของเขาที่ตอนนี้กำลังแดงเรื่อจากเรือนแก้มไล่ไปจนถึงใบหู ทำเอาคนอย่างยงกุกยิ่งใจสั่นมากขึ้นไปอีก
            “เอ่อ.. พี่ว่าพี่กินข้าวต่อดีกว่านะ”
“แต่มันไม่อร่อยนี่ฮ่ะ ผมเห็นนะว่าพี่กินแทบไม่ลงนะ” ยงกุกรีบลุกพรวดพราดกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง แล้วรีบยัดทั้งข้าวทั้งอาหารเข้าปากตัวเอง แต่ก็เคี้ยวได้ไม่กี่คำก็ต้องสำลักจนต้องรีบดื่มน้ำตาม อย่างน้อยตอนนี้ก็ยัดๆ พวกนี้เข้าไปก่อนแล้ว ทั้งกลัวตากลมๆ จะหลั่งน้ำตาอีกรอบ แถมรู้สึกอายที่เขาทำอะไรแบบนั้นลงไป ยงกุกได้แต่หวังว่าที่ทำไปจะไม่ทำให้เจโล่รังเกียจเขาจนไม่ยอมให้เขาเป็นพี่ชายอีกต่อไป แต่เพราะมั่วแต่คิดฟุ้งซ่านจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่ตอนนี้กำลังยิ้ม
            “ฮ่ะๆๆ” หลังจากร้องไห้ก็ต่อด้วยหัวเราะเสียงดังหรอที่นี้
            “เจโล่หัวเราะอะไร พี่น่าขำมากขนาดนั้นเลยหรอ?”
            “ก็พี่กินเข้าไปขนาดนั้นไม่เป็นอะไรแน่หรอฮ่ะ??” นี่ไม่ได้โกรธที่โดนฉันจูบเลยว่างั้น
            “ไม่โกรธที่โดนพี่..” หน้าโหดๆ ตอนนี้กลายเป็นหงอไปซะแล้ว
            “ไม่โกรธฮ่ะ! ก็พี่ยงกุกอยากให้เจโล่หยุดร้องไห้นี่ฮ่ะ” รอยยิ้มของเจโล่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเจ้าตัวดูเหมือนจะกำลังเขินอยู่ไม่ต่างอะไรกับยงกุก
            หลังจากยัดอาหารรสชาติทั้งเผ็ดและเค็มเข้าไปเต็มท้อง อาการข้างเคียงก็เริ่มบังเกิดตามมา เพราะตอนนี้ปากที่หนาอยู่แล้วของยงกุกกำลังบวมเจ่อเพราะความเผ็ด ส่วนลิ้นก็ชาเพราะความเค็ม แถมสภาพของยงกุกตอนนี้ทำเอาเจโล่หัวเราะจนท้องแข็ง ก็เล่นอ้าปากลิ้นห้อยเหมือนหมาน้อยเหนื่อยหอบก็ไม่ปาน
            “ผมปอกผลไม้ให้พี่กินแล้วกันนะฮ่ะ เอาแอปเปิ้ลนะฮ่ะกำลังเย็นเลยด้วย” ว่าแล้วก็รีบลุกไปหยิบแอปเปิ้ลในตู้เย็นมาล้างจนสะอาด แล้วก็หยิบมีดมาปอกให้อย่างใจเย็น แต่แล้วเจ้ากรรมกลับเผลอทำมีดโดนนิ้วตัวเอง ถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่โตก็แค่รอยเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็ทำให้อีกคนลุกพรวด
            “เป็นอะไรรึเปล่า? เลือดออกด้วยหรอเนี่ย” เจโล่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร ยงกุกกลับดึงนิ้วของเจโล่ไปดูดเอาดื้อๆ เล่นเอาเจโล่อายจนหน้าขึ้นสีอีกรอบ พอเจ้าตัวรู้สึกได้ว่าร้อนวูบที่หน้าก็รีบดึงนิ้วของตัวเองคืนจากริมฝีปากจอมตะกล่ะ
            “ถ้าเป็นแผลก็ต้องล้างแผลสิฮ่ะ ที่แผลอาจจะมีเชื้อโรคก็ได้” บ่นใส่ยงกุกเสร็จก็รีบวิ่งไปล้างแผล ส่วนยงกุกที่ทำอะไรไม่คิดก็ได้แต่อายตัวเอง
            “พี่มีพลาสเตอร์ไหมฮ่ะ ผมจะเอามาปิดแผลไว้” แต่เที่ยวนี้ไม่มีรอยยิ้มจากเจโล่ ตอนนี้หน้าตาน่ารักกำลังหงิกงอเพราะอายที่ยงกุกมาดูดนิ้วของเขาแบบนั้น ซึ่งยงกุกเองก็พอจะดูออกว่าเจโล่เคืองเขาอยู่ไม่น้อยเลย
            หลังจากวิ่งวุ่นหาพลาสเตอร์มาปิดแผลให้จอมยุ่งก็เจอสักที แต่ตอนที่กำลังติดพลาสเตอร์ให้เจโล่ ยงกุกก็ถามคำถามที่เจโล่เองไม่อยากจะตอบสักเท่าไหร่
            “โกรธที่พี่ทำแบบนั้นใช่ไหม? งั้นพี่จะไปไม่ทำอีกแล้วกันนะ ตกลงไหม??” ไม่ใช่ว่าผมโกรธสักหน่อย ผมแค่ไม่รู้จะทำตัวยังไงต่างหากเล่า พี่ยงกุกบ้า!
            เงียบ! แสดงว่าไม่ชอบที่ฉันทำจริงๆ สินะ นั่นคือสิ่งที่ยงกุกคิดไปเอง อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ชินกับการอ่านความรู้สึกคน หรือไม่ก็อยู่กับความคิดตัวเองมากเกินไป ทำให้ทั้งวันหลังจากนี้เขาเอาแต่นิ่งเงียบ จนสุดท้ายเจโล่ก็เริ่มจะทนไม่ไหวกับความเงียบของอีกคน
            จากที่นั่งบนโซฟาอยู่ดีๆ ก็ลุกลงมาข้างยงกุกที่ไม่ยอมไปนั่งบนโซฟากับเขา ทั้งที่อยากจะดูหนังเรื่องที่ยงกุกชอบด้วยกัน แต่เขาเองก็อึดอัดที่พี่ชายเล่นเงียบไม่พูดไม่จา
            “พี่ยงกุกโกรธผม!” นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำตัดพ้อของอีกคน
            “ป่าว! พี่แค่..” ฉันแค่ไม่อยากจะเผลอทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นอีก
            เจโล่เองที่พอจะรู้อยู่แล้วว่ายงกุกมีอาการแบบนี้เพราะอะไร เขาจึงทำในสิ่งที่ยงกุกเองก็ไม่คิดไม่ฝัน จู่ๆ เจโล่ก็ขยับตัวเองไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของยงกุก ตากลมจ้องมองยงกุกด้วยอารมณ์เซ็งสุดๆ ก่อนจะยื่หน้าเข้าไปใกล้แล้วหลับตาลง ก่อนจะพูดว่า
            “ถ้าจะโกรธขนาดนั้น ผมยอมให้จูบก็ได้!” เจ้าตัวยุ่งที่พูดและทำอะไรไม่คิดตอนนี้หน้ากำลังขึ้นสีแดงเรื่อ ส่วนคนที่ถูกตัดพ้อตอนนี้กำลังอึ้งรับประทานกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า
            แต่ยังไม่ทันจะเรียกสติคืน ตากลมที่เพิ่งจะปิดไปก็เปลี่ยนมาจ้องเขาแทน
            “ผมยอมให้จูบแล้วนะ พี่ไม่จูบผมเองช่วยไม่ได้” แล้วเจ้าคนพูดไม่คิดก็ลุกกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อนจะโดนคนหน้าโหดพุ่งตามไป แขนทั้งสองข้างของยงกุกวางพาดบนโซฟายืนคร่อมบนโซฟา ก่อนจะก้มหน้าลงประทับรอยจูบให้คนปากดีที่ตอนนี้กำลังตกใจที่โดนยงกุกพุ่งตัวเข้าใส่แบบนั้น ทั้งที่ปากดีแต่พอยงกุกจะเอาจริงเขากลับอายจนต้องหันซ้ายหันขวา เพราะใบหน้าของยงกุกที่ทุกครั้งออกแนวโหด แต่ตอนนี้กลับดูหล่อเหลาขึ้นมา ทั้งสายตาที่ทำให้เขาอ่อนระทวย ริมฝีปากที่อวบอิ่มที่เขายังจำรสชาติของมันได้ แค่คิดสติของเจโล่ก็ลอยไปไกล
            “ไม่ใช่พี่ไม่อยากจูบ..” ฮือ? ว่าไงนะ พี่หมายความว่ายังไง
            “แต่ถ้าพี่จูบเจโล่ แล้วพี่หยุดตัวเองไม่ได้ขึ้นมา จะเกิดอะไรกับเจโล่รู้ตัวไหม??” ว่าจบก็ยิงสายตาที่เรียกได้ว่าใครได้เห็นเป็นเสียตัวไปให้เจโล่
            ฟุ่บ! เจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์พลิกตัวลงนั่งที่ข้างเจโล่แทน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจโล่ไม่ได้โกรธแต่กำลังเขินอายต่อจูบของเขา และในเมื่อเขารู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น หลังจากนิ่งไปสักพัก ยงกุกก็ทิ้งศรีษะลงบนตักของเจโล่แทน
            “พี่อยากนอนตักเจโล่มากกว่า” เจ้าของตักอุ่นๆ ตอนนี้เพิ่งจะได้สติกลับมา แต่ก็ต้องหน้าแดงอีกรอบเพราะดันเผลอจ้องริมฝีปากของคนที่ทะลึ่งมานอนตักเขาโดยไม่ขออนุญาต จนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
            “พี่ยงกุกอย่าทำเมินผมแบบเมื่อกี้อีกนะฮ่ะ ถ้าทำอีกผมจะโกรธพี่จริงๆ ด้วย” ยงกุกถึงกับยิ้มออกมาน้อยๆ หลังจากได้ยินเสียงค้อนจากคนโดนแกล้งให้ตื่นเต้นเล่นๆ
            “ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่าเจโล่อยากให้พี่จูบนะ” เจ้าของตักอุ่นตอนนี้กำลังดีดขาอย่างแรงเพราะความอาย เล่นเอาคนนอนหนุนได้ใจเข้าไปใหญ่
           
            สรุปคือหนังเหนิงไม่ต้องดงต้องดูมันแล้ว คนหนึ่งก็กำลังสบายใจเฉิบบนตัก อีกคนก็เขินม้วนต้วนหันซ้ายหันขวา จนเวลาล่วงเลยมาช่วงถึงเย็น
            “ออกไปหาอะไรกันดีกว่า เจโล่ไม่หิวรึไง” ถามไปพลางจ้องไปพลาง เล่นเอาคนถูกถามต้องหลบตาก่อนจะตอบ
            “ผมจะได้กินอะไรที่ไหนได้ฮ่ะ ก็พี่เล่นนอนบนตักจนขาผมเหน็บกินแล้วเนี่ย” ก็จริงอย่างเจโล่ว่า ยงกุกไม่ได้นอนหนุนอย่างเดียวแต่เผลอหลับจริงด้วย ถึงจะหิวก็ไม่กล้าปลุก เพราะยงกุกในตอนที่นอนหลับอยู่นั่นชวนให้หลงใหลซะจริง อีกทั้งเขาสามารถมองหน้ายงกุกได้ตรงๆ อีกด้วย ยิ่งมองเจโล่ก็ยิ่งเห็นว่าพี่ชายขี้แยในตอนนั้นกลายเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเอาเรื่อง ถึงแม้ความโหดจะกลบมันไปซะหมดแต่พอเขานอนนิ่งแบบนี้แล้วก็ชวนให้เจโล่จ้องมองได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ
            “เมื่อยขอรึเปล่า พี่นวดให้ไหม?” ไม่ถามเฉย ยงกุกลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอื้อมมือที่แสนจะซุกซนของเขามานวดให้ที่หน้าขาของคนที่กลายเป็นหมอนไปชั่วขณะ ถึงแม้ที่ยงกุกทำจะทำไปด้วยความห่วงใยในหมอนหนุนอุ่นๆ ของเขา แต่เจ้าของหมอนนุ่มๆ กับดึงขาตัวเองกลับแถมลุกพรวดพราดเดินห่างออกไปอีกต่างหาก ยงกุกที่เห็นอย่างนั้นค่อยนึกออกว่าทำไม
            แต่ยังไม่ทันไร เจโล่ที่นั่งอยู่ในท่าเดิมมาหลายชั่วโมงจนขาเป็นเหน็บ ก็ถึงกับเซเพราะเรี่ยวแรงที่ขามันหายไปหมด ยงกุกถึงกับต้องวิ่งไปช้อนตัวเจโล่เอาไว้ ไม่ต้องถามเลยว่าหน้าเจโล่จะแดงขนาดไหน ก็ยงกุกเล่นทำอะไรแบบนี้ตลอด โลกสวยสีลูกกวาดของเจโล่ในตอนนี้เลยมีแต่สายตาเย้ายวนกับริมฝีปากอวบอิ่มลอยไปลอยมาไม่หยุด
            กว่าจะได้ออกไปหาอะไรกินก็ต้องพักเรียกสติกลับคืนกันยกใหญ่


            ร้านที่ยงกุกพาเจโล่มาเป็นร้านเล็กๆ มีที่นั่งแค่ไม่กี่ที่แต่ก็มีคนนั่งอยู่จนเกือบเต็ม แถมทุกคนที่อยู่ในร้านก็กำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย
            “พาใครมาด้วยรึยงกุก?” คุณป้าเจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะยงกุกไม่ใช่คนที่เพื่อนมากสักหน่อย อีกอย่างเด็กคนที่ยงกุกพามาด้วยก็ดูจะเรียบร้อยน่ารักเกินเหตุ จนทำให้อดห่วงไม่ได้ว่าคิดยังไงถึงมากับเจ้าคนโลกเบี้ยวแบบยงกุกได้
            “เจ้าของม้านั่งนะครับ!” คำตอบของยงกุกทำให้ป้าเจ้าของร้านเข้าใจได้เป็นอย่างดี เพราะแกคอยดูแลยงกุกบ้างเพราะรู้จักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยที่เดียว อันที่จริงป้าแกก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าพูดกับยงกุกนะน่ะ
            “เจโล่! นี่ป้าอูฮยอน ส่วนนี้ชื่อเจโล่ครับป้า” แหมๆ ท่าทางตอนทักทายเนี่ยน่ารักน่าเอ็นดูเชียว แต่ที่น่าหลอนคือวันนี้เจ้ายงกุกมันยิ้มด้วยหรอ จริงรึเปล่าที่มันยิ้มเนี่ย??
            “ไม่ต้องมามองผมแบบนั่นนะป้า ผมยิ้มไม่ดีรึไง?” สายตาของยงกุกฉายแววขี้เล่นที่หายไปนาน เล่นเอาป้าแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ ก็ยงกุกที่ป้าเห็นมองตลอดหลายปีนี้ คือยงกุกที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตทุกเมื่อ เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่เว้นแต่ละวัน ใครที่ดาหน้าเข้ามาเขาก็วิ่งใส่ไม่ยั้ง เป็นอย่างนั้นมาปีกว่าจนคนที่กล้ามาหาเรื่องเขาแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ อีกอย่างยงกุกเองตอนนี้ก็เป็นถึง..
            “มิน่าทำไมพักนี้แถวนี้ถึงได้เงียบนัก” แขวะเข้าให้สักหน่อย โทษฐานทำให้ป้าเป็นห่วง
            “ไม่ต้องพูดถึงเลยนะป้า เอาไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ยงกุกส่งสายตาบอกป้าว่าอย่าพูดเรื่องไม่ดีของผมต่อหน้าเด็กคนนี้
            “ว่าแต่ลุงซองกยูแกไม่คิดจะตื่นมาช่วยป้ารึไงกัน เห็นวันๆ เอาแต่กินกับนอน!” คนนอนอยู่สะดุ้งโหย่ง เพราะจริงๆ ไม่ได้นอนหรอกกำลังแอบดูยงกุกเวอร์ชั่นเป็นสุขอยู่ในมุมมืด กะว่าจะแอบเอาไปเม้าส์สักหน่อย
            “ฉันเปล่าหลับนะเว้ย! แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ก็เท่านั้นเอง แล้วที่ไม่ไปช่วยก็เพราะยายแก่ไม่ยอมให้ช่วยต่างหาก”
            “ใครจะอยากให้แกมาช่วยล่ะไอ้แก่ หยิบจับอะไรก็ช้าไปซะหมด แถมพอร้านปิดก็บ่นเมื่อยๆ ให้นวดแขนบ้าง ขาบ้าง ฉันยอมเหนื่อยคนเดียวซะยังจะดีกว่าอีก”
            “พี่ยงกุกฮ่ะ ลุงกะป้าแกเถียงกันใหญ่เลย” เจโล่ทำตาแป๋วแว๋วใส่ผมด้วยความตื่นเต้น สงสัยพ่อกับแม่นายนี่คงไม่เคยทะเลาะกันเลยละมั้งเนี่ย
            “เปล่าหรอก สองคนนั้นแค่เนียนต่อหน้าคนอื่นไปงั้นแหล่ะ พอไม่มีคนอยู่เห็นเอาแต่กอดกันพูดจาจ๊จ๊ะ แค่นึกถึงก็ขนลุกแล้ว” ไม่ว่าเปล่า ยงกุกทำท่าทางตัวสั่นให้เจโล่ดูเพิ่มเติม เล่นเอาเจโล่หัวเราะร่า แถมยิ้มกว้างอีกต่างหาก ส่วนยงกุกที่เห็นเจโล่หัวเราะก็เผลอหัวเราะตามไปด้วยเพราะอดขำความใสซื่อของเจโล่ไม่ได้
            แต่เสียงหัวเราะของยงกุกที่ทุกคนไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ยิน นอกจากเสียงหัวเราะในคอที่ชวนให้ขนหัวลุกเวลาที่เขาอัดใครจมดินได้ หรือไม่ก็เสียงที่เย็นยะเยือกขนาดป่าช้ายังเรียกพี่ ไม่ใช่แค่ลุงซองกยูกับป้าอูฮยอนที่กำลังช็อก แต่ทุกคนที่อยู่ในร้านก็ไม่ต่างกัน พากันหันหน้ามามองด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เห็น ก็ใช่ว่าคนแถวนี้จะไม่รู้จักปีศาจตนนี้สักหน่อย จริงไหม?
            เจโล่ที่ดูจะรู้ตัวว่ามีคนมองมาก็หันไปดูทุกคนที่กำลังมอง ไม่ใช่แค่หนึ่งรึสองคน แต่เป็นคนทั้งร้านกำลังจ้องยงกุกที่หัวเราะไม่หยุด จนต้องเอามือไปสะกิดพี่ชาย
            “ฉันหัวเราะนี่ไม่ดีรึไง???” ทันทีที่เงียบเสียงหัวเราะ ก็กลายเป็นเสียงเรียบเฉยเย็นชาใส่คนทั้งร้าน ซึ่งก็รวมไปถึงเจ้าของร้านด้วยนั่นแหล่ะ
            “เปล่าสักหน่อย! ฉันแค่ดีใจที่ได้ยินนายหัวเราะจริงๆ สักที” ป้าคนนี้จะร้องไห้อยู่แล้วนะรู้ไหมเจ้าบ้ายงกุก ส่วนเด็กเจโล่นี่สินะที่นายรอจพพบเขามาหลายปีนี้นะ
            “ได้แล้วๆ เลิกทำหน้ายักษ์ใส่ฉันสักทีเหอะยงกุก อ่านี้ของเจโล่นะ” บนโต๊ะมีทั้งซุปกิมจิ ข้าวยำ หมูสามชั้นย่างหอมๆ กับผักโขมผัดน้ำมันงา
            “ขอบคุณฮ่ะ” เจโล่แจกยิ้มหวานให้คุณป้าอูฮยอนเพราะตื่นเต้นกับอาหาร แต่ด้วยรอยยิ้มนั่นเองที่ทำให้ป้าเข้าใจว่าทำไมยงกุกจึงคิดถึงเด็กคนนี้นักหนา เพราะรอยยิ้มที่นำแสงสว่างส่องไปจนถึงมุมมืดที่ยงกุกอยู่เพียงลำพังได้สินะ
            “กินกันเถอะ กินเสร็จจะได้กลับบ้านกัน” รอยยิ้มแห่งความสุขผุดขึ้นอีกครั้งบนในหน้าของยงกุก ปีศาจที่กลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น