ตั้งแต่มาถึงบ้านของผมไม่มีนาทีไหนเลยที่เจโล่จะหยุดอยู่นิ่งๆ
เริ่มตั้งแต่ที่เข้ามาในประตูรั้วก็วิ่งวุ่นไปทั่วสวนเล็กๆ
ที่หน้าบ้านจะเรียกว่าสวนได้ไหมนะเพราะมันมีแค่ต้นไม้ที่ถูกปลูกมานานกับหญ้าที่ขึ้นรกตามธรรมชาติ
หลังจากนั้นก็รีบเบียดตัวเข้าบ้านทันทีที่ผมเปิดประตูเสร็จ หลังจากนั้นก็สำรวจทั่วบ้านหลังเล็กของผม
แต่ที่น่าปวดหัวก็คงเป็นตอนที่เข้าไปสำรวจห้องนอนของผมนั่นแหล่ะ
ถึงจะอยู่คนเดียวแต่เตียงของผมก็ดันเป็นที่นอนสำหรับนอนสองคนอยู่ดี ทำไงได้
เพราะมันเป็นที่นอนของพ่อกับแม่ที่ตายไปแล้ว และผมแค่อยากจะอยู่ใกล้ท่านให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง
นั่นจึงเป็นเรื่องที่ผมทำผิดพลาดอย่างหนึ่ง
เพราะทันทีที่เห็นว่ามีเตียงใหญ่น่านอนในห้องของผม
เจโล่ก็จัดการเก็บข้าวของตัวเองเสร็จสรรพ
และถ้าผมจะห้ามก็คงโดนระเบิดความน่ารักใส่อีกดอกเป็นแน่
ที่น่ากังวลอีกอย่างก็เจ้าชุดนอนที่อุตส่าหาซื้อมาให้ผม และผมมั่นใจว่าผมต้องใส่ถึงแม้จะไม่ชอบก็ตามที
“เจโล่อ่า!” ก็แค่อยากให้สนใจผมอีกสักนิด
เพราะตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาไม่มีเวลาไหนที่เจโล่ไม่ขยับ
ซึ่งมันก็ทำให้ผมปวดหัวเล็กน้อยก็ดันเล่นมองตามจอมยุ่งไม่ว่างตาเองนี่นะ
“คร๊าบผม! พี่ยงกุกเรียกผมทำไมหรอฮ่ะ?” ตากลมๆ กำลังจ้องผมด้วยความสงสัย
“จัดของเสร็จทำอะไรให้พี่กินหน่อยสิ
พี่หิวแล้ว!” ก็ไม่ได้หิวอะไรหรอก
แค่อยากจะกินอาหารที่ไม่ใช่ผมเป็นคนทำนะ
ผมเบื่อรสชาติอาหารของตัวเองถึงแม้ว่ามันจะอร่อยก็ตาม
ยิ่งต้องนั่งกินในบ้านหลังนี้ ผมยิ่งกินอาหารที่ตัวเองเป็นคนทำได้ยากมากขึ้น
อาจจะพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมเหงาและเศร้าที่สุดก็เป็นได้
“ผมทำอาหารไม่เก่งฮ่ะ
ทำได้แค่ไม่กี่อย่างแถมไม่อร่อยด้วยนะ พี่ยงกุกจะกินไหวหรอฮ่ะ??”
เจ้าตัวยุ่งของผมกำลังทำหน้าจริงจัง
สงสัยว่าจะห่วงเรื่องรสชาติอาหารของตัวเองอย่างจริงจัง
“ลองดูแล้วกัน พี่คงไม่ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม”
แต่รสชาติอาหารของผมมันแย่สุดๆ เลยนะฮ่ะ
ถึงผมจะกินได้แต่พ่อกับแม่เคยบอกให้ผมสั่งอาหารมากินจะดีกว่าก็เถอะ
“จะพยายามสุดฝีมือเลยฮ่ะ”
มือสองข้ามกำหมัดแน่นแสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจัง แต่มันไม่เข้ากับบุคลิกของคนที่ทำนี่สิ
ออกแนวคุณหนูสู้ตายมากกว่า
และแล้วช่วงเวลาแห่งการรอคอยอาหารของยงกุกก็เริ่มต้นขึ้น
เจโล่ใช้มีดปาดผักแล้วก็พวกเนื้อสัตว์ได้อย่างคล่องมือ ตอนที่จุดแก๊สทำอาหารหรือแม้แต่ท่าทางจับตะหลิวก็ดูดี
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนอาหารก็มีกลิ่นหอมไม่มีกลิ่นน่าสงสัย
ส่วนข้าวที่เจ้าตัวหุงก็กำลังสุกขึ้นหม้อดี จนทำให้ยงกุกตายใจไปกับสิ่งที่เห็น
หลังจากยุ่งกับการปรุงอาหารให้พี่ชายได้กินเป็นครั้งแรก
ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย
คนเป็นพี่ที่นั่งรอที่โต๊ะอาหารที่อยู่ไม่ไกลโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างสวยงาม
ข้าวถูกตักใส่ชามวางหน้าคนรอพร้อมกับตะเกียบและช้อนสำหรับตักซุป
“เล่นเอาของในตู้เย็นมาทำซะเกือบหมดแบบนี้
แต่พี่ก็ยังไม่รู้จะเรียกอาหารตรงหน้ายังไงดีนะเหมือนกัน
เจโล่ตั้งชื่อไว้รึเปล่าเนี่ย?” ที่ถามก็ไม่ได้กะจะกวนน้องหรอกนะ แต่เพราะอาหารที่เจโล่ทำน่าตาไม่ค่อยเหมือนอาหารเกาหลีสักเท่าไหร่
“อันนี้แกงจืดฮ่ะ
ตอนอยู่ญี่ปุ่นคุณป้าข้างบ้านเคยทำให้กินอร่อยดีฮ่ะ
มีหัวไชเท้ากับเนื้อหมูก็เลยทำอันนี้ให้พี่ ส่วนจานนี้เป็นผัดผักฮ่ะ
ก็ในตู้เย็นพี่แทบไม่มีอะไรเลย ผมก็เลยทำได้แค่นี้อ่ะ” แกงจืดผมก็พอมองออกนะ
แต่ไอ้ผัดผักรวมนี่สิ เจโล่เล่นใส่ทั้งพริกแดง พริกเขียว ไหนจะพริกหวาน สรุปง่ายๆ
ในจานมีแต่พริกเป็นส่วนประกอบหลัก ที่ไม่ใช้พริกก็คงจะเป็นหอมหัวใหญ่นี่แหล่ะ
สงสัยว่างานนี้คงต้องหาหมอแน่ๆ แต่คนตรงหน้านี่สิ ยิ้มหวานเชียว
“กินเลยสิฮ่ะ
เดี๋ยวเย็นก็ไม่อร่อยกันพอดี” แต่พอผมเริ่มจะตักเข้าปาก
จากที่เจโล่ยิ้มหวานเมื่อกี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลแทนซะอย่างนั้น
ผมควรจะขำคนตรงหน้าดีไหม ผมเริ่มเสี่ยงตายที่จานระทึกอย่างผัดพริกรวม
แต่พอเริ่มเคี้ยวผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมพ่อกับแม่ของเจโล่ถึงขอให้เขาโทรสั่งอาหารมาแทน
ผมรู้สึกได้ถึงความเผ็ดที่มาจากพริก
แต่นั่นก็ยังไม่เท่าความเค็มที่ผมแน่ใจว่าเจโล่คงชอบเกลือเป็นพิเศษแน่ๆ
แต่เพราะกลัวว่าเจโล่จะเสียใจผมเลยต้องฝืนตัวเองยืนมือไปตักน้ำซุปของแกงจืดมาล้างความเค็มในปาก
แต่ว่า..
“แค่กๆๆ”
ผมกำลังจะสำลักความเค็มตาย ทุกอย่างที่เจโล่ทำมันมีรสเค็มนำลิ่ว
มันไม่ใช่เค็มธรรมดาหรอกนะ แต่เค็มมากถึงมากที่สุด
“ขอโทษฮ่ะ”
ผมรีบเงยหน้ามองเจโล่ทั้งๆ ที่ยังสำลักอาหารไม่หยุด
ปรากฏว่าเจ้าตัวยุ่งเริ่มมุ่ยหน้าซะแล้ว แต่เที่ยวนี้คงไม่ได้มุ่ยเพื่ออ้อนแน่ๆ
เพราะตากลมเลยแดงก่ำพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
“เจโล่อ่า
พี่แค่รีบไปหน่อยนะเลยสำลัก ทำไมถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นล่ะฮือ แค่กๆๆ” แต่ผมก็ต้องรีบย้ายสังขารที่ช็อคความเค็มไปหาเด็กน้อยที่กำลังจะระเบิดร้องไห้
“เจโล่
อึกๆ เจโล่แค่ ฮือๆๆๆ” ร้องไห้จริงๆ ด้วย ผมไม่เคยเห็นเจโล่ร้องไห้จริงๆ นะ
ต่อให้โดนดุเขาก็ไม่เคยโกรธด้วยซ้ำมีแต่ยิ้มตอบ
แล้วนี่มันอะไรกันผมทำให้เขาร้องไห้งั้นหรอ
“ร้องไห้ทำไม?
พี่ไม่อยากเห็นเจโล่ร้องไห้แบบนี้เลยนะรู้ไหม
ทำไมเทวดาตัวน้อยของพี่ถึงร้องไห้แบบนี้ล่ะ เจโล่ไม่เคยร้องไห้เลยนะ
พี่ทำอะไรให้เจโล่โกรธรึเปล่า??” ผมกำลังปวดใจที่เห็นเขาร้องไห้
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าร้องไห้เรื่องอะไรก็เถอะ แต่ผมไม่รู้จริงๆ
ว่าทำไมเขาถึงร้องไห้แบบนี้
“ผม
ฮือๆๆๆ”
“เจโล่อ่า! หยุดร้องไห้นะเด็กดีของพี่” เพราะกำลังงงไหนจะตกใจในรสชาติของความเค็ม
แขนสองข้างของผมเลยดึงเจโล่เข้ามากอดโดยไม่ทันรู้ตัว
เจโล่เองก็ซุกหน้าลงบนไหล่ของผมเช่นกัน
เจโล่เป็นคนดึงตัวออกไปก่อน
แต่ก็ยังสะอื้นไม่หยุด
แถมน้ำตาก็ยังไหลไม่ยอมหยุดทั้งที่เจ้าตัวพยายามจะเช็ดออกจากแก้ม
จนผมจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง แก้มใสที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยคราบน้ำตา
ปากเรียวเล็กก็กำลังเบะออกเพราะสะอื้นร้องไห้
ทั้งสองมือของผมเลื่อนไปจับที่แก้มของเจโล่เพื่อเช็ดน้ำตาให้
แต่ความน่ารักของเขาคงมีมากเกินไปจนผมเผลอตัว
ริมฝีปากหนาของยงกุกประทับลงเบาๆ
ที่แก้มของเจที่ละข้างก่อนจะจ้องมองตากลมโตที่ตอนนี้น้ำตาหยุดไหลไปแล้ว
แต่ดูเหมือนเจโล่จะยังตกใจที่โดนพี่ชายของเขาจูบลงที่แก้มแบบนั้น
“พี่ยงกุกทำอะไรฮ่ะ?”
เจโล่มองยงกุกอย่างต้องการคำตอบ
“เจโล่เคยบอกพี่ว่าอมยิ้มคือความสุขของเจโล่ใช่ไหม?”
เจโล่พยักหน้าตอบ
“นี่ก็เป็นความสุขของพี่เหมือนกัน”
พอยงกุกพูดจบ ริมฝีปากเรียวเล็กก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากหนาอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล
ยงกุกไม่ทำไปมากกว่านั้นเขาเพียงแต่จูบด้วยต้องการจะปลอบโยนคนตรงหน้าเท่านั้น
ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากเรียวเล็ก เจโล่ที่ก่อนหน้านี้หลับตาพริ้มก็ค่อยๆ ลืมตามองหน้าคนที่มอบจูบแรกให้กับเขา
“พี่ยกความสุขของพี่ให้เจโล่นะ”
ทั้งที่ทำเป็นปากดีบอกน้องไปแบบนั้น
แต่ยงกุกเองกำลังจะอกแตกตายเพราะว่าหัวใจของเขามันเต้นแรงเหมือนจะโดดออกมาข้างนอก
“ฮ่ะ”
เด็กน้อยที่กำลังงุนงงกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป
ก็มีอาการไม่ต่างจากยงกุกสักเท่าไหร่ แต่ที่แย่กว่าหน่อยก็ผิวขาวๆ
ของเขาที่ตอนนี้กำลังแดงเรื่อจากเรือนแก้มไล่ไปจนถึงใบหู
ทำเอาคนอย่างยงกุกยิ่งใจสั่นมากขึ้นไปอีก
“เอ่อ..
พี่ว่าพี่กินข้าวต่อดีกว่านะ”
“แต่มันไม่อร่อยนี่ฮ่ะ
ผมเห็นนะว่าพี่กินแทบไม่ลงนะ” ยงกุกรีบลุกพรวดพราดกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
แล้วรีบยัดทั้งข้าวทั้งอาหารเข้าปากตัวเอง
แต่ก็เคี้ยวได้ไม่กี่คำก็ต้องสำลักจนต้องรีบดื่มน้ำตาม อย่างน้อยตอนนี้ก็ยัดๆ
พวกนี้เข้าไปก่อนแล้ว ทั้งกลัวตากลมๆ จะหลั่งน้ำตาอีกรอบ แถมรู้สึกอายที่เขาทำอะไรแบบนั้นลงไป
ยงกุกได้แต่หวังว่าที่ทำไปจะไม่ทำให้เจโล่รังเกียจเขาจนไม่ยอมให้เขาเป็นพี่ชายอีกต่อไป
แต่เพราะมั่วแต่คิดฟุ้งซ่านจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่ตอนนี้กำลังยิ้ม
“ฮ่ะๆๆ”
หลังจากร้องไห้ก็ต่อด้วยหัวเราะเสียงดังหรอที่นี้
“เจโล่หัวเราะอะไร
พี่น่าขำมากขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ก็พี่กินเข้าไปขนาดนั้นไม่เป็นอะไรแน่หรอฮ่ะ??”
นี่ไม่ได้โกรธที่โดนฉันจูบเลยว่างั้น
“ไม่โกรธที่โดนพี่..”
หน้าโหดๆ ตอนนี้กลายเป็นหงอไปซะแล้ว
“ไม่โกรธฮ่ะ! ก็พี่ยงกุกอยากให้เจโล่หยุดร้องไห้นี่ฮ่ะ”
รอยยิ้มของเจโล่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน
เพราะเจ้าตัวดูเหมือนจะกำลังเขินอยู่ไม่ต่างอะไรกับยงกุก
หลังจากยัดอาหารรสชาติทั้งเผ็ดและเค็มเข้าไปเต็มท้อง
อาการข้างเคียงก็เริ่มบังเกิดตามมา
เพราะตอนนี้ปากที่หนาอยู่แล้วของยงกุกกำลังบวมเจ่อเพราะความเผ็ด
ส่วนลิ้นก็ชาเพราะความเค็ม แถมสภาพของยงกุกตอนนี้ทำเอาเจโล่หัวเราะจนท้องแข็ง
ก็เล่นอ้าปากลิ้นห้อยเหมือนหมาน้อยเหนื่อยหอบก็ไม่ปาน
“ผมปอกผลไม้ให้พี่กินแล้วกันนะฮ่ะ
เอาแอปเปิ้ลนะฮ่ะกำลังเย็นเลยด้วย”
ว่าแล้วก็รีบลุกไปหยิบแอปเปิ้ลในตู้เย็นมาล้างจนสะอาด
แล้วก็หยิบมีดมาปอกให้อย่างใจเย็น แต่แล้วเจ้ากรรมกลับเผลอทำมีดโดนนิ้วตัวเอง
ถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่โตก็แค่รอยเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็ทำให้อีกคนลุกพรวด
“เป็นอะไรรึเปล่า?
เลือดออกด้วยหรอเนี่ย” เจโล่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร
ยงกุกกลับดึงนิ้วของเจโล่ไปดูดเอาดื้อๆ เล่นเอาเจโล่อายจนหน้าขึ้นสีอีกรอบ
พอเจ้าตัวรู้สึกได้ว่าร้อนวูบที่หน้าก็รีบดึงนิ้วของตัวเองคืนจากริมฝีปากจอมตะกล่ะ
“ถ้าเป็นแผลก็ต้องล้างแผลสิฮ่ะ
ที่แผลอาจจะมีเชื้อโรคก็ได้” บ่นใส่ยงกุกเสร็จก็รีบวิ่งไปล้างแผล
ส่วนยงกุกที่ทำอะไรไม่คิดก็ได้แต่อายตัวเอง
“พี่มีพลาสเตอร์ไหมฮ่ะ
ผมจะเอามาปิดแผลไว้” แต่เที่ยวนี้ไม่มีรอยยิ้มจากเจโล่
ตอนนี้หน้าตาน่ารักกำลังหงิกงอเพราะอายที่ยงกุกมาดูดนิ้วของเขาแบบนั้น
ซึ่งยงกุกเองก็พอจะดูออกว่าเจโล่เคืองเขาอยู่ไม่น้อยเลย
หลังจากวิ่งวุ่นหาพลาสเตอร์มาปิดแผลให้จอมยุ่งก็เจอสักที
แต่ตอนที่กำลังติดพลาสเตอร์ให้เจโล่ ยงกุกก็ถามคำถามที่เจโล่เองไม่อยากจะตอบสักเท่าไหร่
“โกรธที่พี่ทำแบบนั้นใช่ไหม?
งั้นพี่จะไปไม่ทำอีกแล้วกันนะ ตกลงไหม??” ไม่ใช่ว่าผมโกรธสักหน่อย
ผมแค่ไม่รู้จะทำตัวยังไงต่างหากเล่า พี่ยงกุกบ้า!
เงียบ! แสดงว่าไม่ชอบที่ฉันทำจริงๆ สินะ
นั่นคือสิ่งที่ยงกุกคิดไปเอง อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ชินกับการอ่านความรู้สึกคน
หรือไม่ก็อยู่กับความคิดตัวเองมากเกินไป ทำให้ทั้งวันหลังจากนี้เขาเอาแต่นิ่งเงียบ
จนสุดท้ายเจโล่ก็เริ่มจะทนไม่ไหวกับความเงียบของอีกคน
จากที่นั่งบนโซฟาอยู่ดีๆ
ก็ลุกลงมาข้างยงกุกที่ไม่ยอมไปนั่งบนโซฟากับเขา ทั้งที่อยากจะดูหนังเรื่องที่ยงกุกชอบด้วยกัน
แต่เขาเองก็อึดอัดที่พี่ชายเล่นเงียบไม่พูดไม่จา
“พี่ยงกุกโกรธผม!” นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำตัดพ้อของอีกคน
“ป่าว! พี่แค่..” ฉันแค่ไม่อยากจะเผลอทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นอีก
เจโล่เองที่พอจะรู้อยู่แล้วว่ายงกุกมีอาการแบบนี้เพราะอะไร
เขาจึงทำในสิ่งที่ยงกุกเองก็ไม่คิดไม่ฝัน จู่ๆ
เจโล่ก็ขยับตัวเองไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของยงกุก
ตากลมจ้องมองยงกุกด้วยอารมณ์เซ็งสุดๆ ก่อนจะยื่หน้าเข้าไปใกล้แล้วหลับตาลง
ก่อนจะพูดว่า
“ถ้าจะโกรธขนาดนั้น
ผมยอมให้จูบก็ได้!”
เจ้าตัวยุ่งที่พูดและทำอะไรไม่คิดตอนนี้หน้ากำลังขึ้นสีแดงเรื่อ
ส่วนคนที่ถูกตัดพ้อตอนนี้กำลังอึ้งรับประทานกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า
แต่ยังไม่ทันจะเรียกสติคืน
ตากลมที่เพิ่งจะปิดไปก็เปลี่ยนมาจ้องเขาแทน
“ผมยอมให้จูบแล้วนะ
พี่ไม่จูบผมเองช่วยไม่ได้”
แล้วเจ้าคนพูดไม่คิดก็ลุกกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อนจะโดนคนหน้าโหดพุ่งตามไป
แขนทั้งสองข้างของยงกุกวางพาดบนโซฟายืนคร่อมบนโซฟา
ก่อนจะก้มหน้าลงประทับรอยจูบให้คนปากดีที่ตอนนี้กำลังตกใจที่โดนยงกุกพุ่งตัวเข้าใส่แบบนั้น
ทั้งที่ปากดีแต่พอยงกุกจะเอาจริงเขากลับอายจนต้องหันซ้ายหันขวา
เพราะใบหน้าของยงกุกที่ทุกครั้งออกแนวโหด แต่ตอนนี้กลับดูหล่อเหลาขึ้นมา
ทั้งสายตาที่ทำให้เขาอ่อนระทวย ริมฝีปากที่อวบอิ่มที่เขายังจำรสชาติของมันได้
แค่คิดสติของเจโล่ก็ลอยไปไกล
“ไม่ใช่พี่ไม่อยากจูบ..”
ฮือ? ว่าไงนะ พี่หมายความว่ายังไง
“แต่ถ้าพี่จูบเจโล่
แล้วพี่หยุดตัวเองไม่ได้ขึ้นมา จะเกิดอะไรกับเจโล่รู้ตัวไหม??”
ว่าจบก็ยิงสายตาที่เรียกได้ว่าใครได้เห็นเป็นเสียตัวไปให้เจโล่
ฟุ่บ! เจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์พลิกตัวลงนั่งที่ข้างเจโล่แทน
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจโล่ไม่ได้โกรธแต่กำลังเขินอายต่อจูบของเขา
และในเมื่อเขารู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น หลังจากนิ่งไปสักพัก
ยงกุกก็ทิ้งศรีษะลงบนตักของเจโล่แทน
“พี่อยากนอนตักเจโล่มากกว่า”
เจ้าของตักอุ่นๆ ตอนนี้เพิ่งจะได้สติกลับมา
แต่ก็ต้องหน้าแดงอีกรอบเพราะดันเผลอจ้องริมฝีปากของคนที่ทะลึ่งมานอนตักเขาโดยไม่ขออนุญาต
จนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
“พี่ยงกุกอย่าทำเมินผมแบบเมื่อกี้อีกนะฮ่ะ
ถ้าทำอีกผมจะโกรธพี่จริงๆ ด้วย” ยงกุกถึงกับยิ้มออกมาน้อยๆ หลังจากได้ยินเสียงค้อนจากคนโดนแกล้งให้ตื่นเต้นเล่นๆ
“ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่าเจโล่อยากให้พี่จูบนะ”
เจ้าของตักอุ่นตอนนี้กำลังดีดขาอย่างแรงเพราะความอาย
เล่นเอาคนนอนหนุนได้ใจเข้าไปใหญ่
สรุปคือหนังเหนิงไม่ต้องดงต้องดูมันแล้ว
คนหนึ่งก็กำลังสบายใจเฉิบบนตัก อีกคนก็เขินม้วนต้วนหันซ้ายหันขวา
จนเวลาล่วงเลยมาช่วงถึงเย็น
“ออกไปหาอะไรกันดีกว่า
เจโล่ไม่หิวรึไง” ถามไปพลางจ้องไปพลาง เล่นเอาคนถูกถามต้องหลบตาก่อนจะตอบ
“ผมจะได้กินอะไรที่ไหนได้ฮ่ะ
ก็พี่เล่นนอนบนตักจนขาผมเหน็บกินแล้วเนี่ย” ก็จริงอย่างเจโล่ว่า
ยงกุกไม่ได้นอนหนุนอย่างเดียวแต่เผลอหลับจริงด้วย ถึงจะหิวก็ไม่กล้าปลุก เพราะยงกุกในตอนที่นอนหลับอยู่นั่นชวนให้หลงใหลซะจริง
อีกทั้งเขาสามารถมองหน้ายงกุกได้ตรงๆ อีกด้วย
ยิ่งมองเจโล่ก็ยิ่งเห็นว่าพี่ชายขี้แยในตอนนั้นกลายเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเอาเรื่อง
ถึงแม้ความโหดจะกลบมันไปซะหมดแต่พอเขานอนนิ่งแบบนี้แล้วก็ชวนให้เจโล่จ้องมองได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ
“เมื่อยขอรึเปล่า
พี่นวดให้ไหม?” ไม่ถามเฉย
ยงกุกลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอื้อมมือที่แสนจะซุกซนของเขามานวดให้ที่หน้าขาของคนที่กลายเป็นหมอนไปชั่วขณะ
ถึงแม้ที่ยงกุกทำจะทำไปด้วยความห่วงใยในหมอนหนุนอุ่นๆ ของเขา แต่เจ้าของหมอนนุ่มๆ
กับดึงขาตัวเองกลับแถมลุกพรวดพราดเดินห่างออกไปอีกต่างหาก
ยงกุกที่เห็นอย่างนั้นค่อยนึกออกว่าทำไม
แต่ยังไม่ทันไร
เจโล่ที่นั่งอยู่ในท่าเดิมมาหลายชั่วโมงจนขาเป็นเหน็บ
ก็ถึงกับเซเพราะเรี่ยวแรงที่ขามันหายไปหมด
ยงกุกถึงกับต้องวิ่งไปช้อนตัวเจโล่เอาไว้ ไม่ต้องถามเลยว่าหน้าเจโล่จะแดงขนาดไหน
ก็ยงกุกเล่นทำอะไรแบบนี้ตลอด
โลกสวยสีลูกกวาดของเจโล่ในตอนนี้เลยมีแต่สายตาเย้ายวนกับริมฝีปากอวบอิ่มลอยไปลอยมาไม่หยุด
กว่าจะได้ออกไปหาอะไรกินก็ต้องพักเรียกสติกลับคืนกันยกใหญ่
ร้านที่ยงกุกพาเจโล่มาเป็นร้านเล็กๆ
มีที่นั่งแค่ไม่กี่ที่แต่ก็มีคนนั่งอยู่จนเกือบเต็ม
แถมทุกคนที่อยู่ในร้านก็กำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย
“พาใครมาด้วยรึยงกุก?”
คุณป้าเจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะยงกุกไม่ใช่คนที่เพื่อนมากสักหน่อย
อีกอย่างเด็กคนที่ยงกุกพามาด้วยก็ดูจะเรียบร้อยน่ารักเกินเหตุ
จนทำให้อดห่วงไม่ได้ว่าคิดยังไงถึงมากับเจ้าคนโลกเบี้ยวแบบยงกุกได้
“เจ้าของม้านั่งนะครับ!”
คำตอบของยงกุกทำให้ป้าเจ้าของร้านเข้าใจได้เป็นอย่างดี
เพราะแกคอยดูแลยงกุกบ้างเพราะรู้จักมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยที่เดียว
อันที่จริงป้าแกก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าพูดกับยงกุกนะน่ะ
“เจโล่!
นี่ป้าอูฮยอน ส่วนนี้ชื่อเจโล่ครับป้า” แหมๆ
ท่าทางตอนทักทายเนี่ยน่ารักน่าเอ็นดูเชียว
แต่ที่น่าหลอนคือวันนี้เจ้ายงกุกมันยิ้มด้วยหรอ จริงรึเปล่าที่มันยิ้มเนี่ย??
“ไม่ต้องมามองผมแบบนั่นนะป้า
ผมยิ้มไม่ดีรึไง?” สายตาของยงกุกฉายแววขี้เล่นที่หายไปนาน
เล่นเอาป้าแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มใจอย่างหาใดเปรียบมิได้
ก็ยงกุกที่ป้าเห็นมองตลอดหลายปีนี้ คือยงกุกที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตทุกเมื่อ
เขามีเรื่องทะเลาะวิวาทไม่เว้นแต่ละวัน ใครที่ดาหน้าเข้ามาเขาก็วิ่งใส่ไม่ยั้ง เป็นอย่างนั้นมาปีกว่าจนคนที่กล้ามาหาเรื่องเขาแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
อีกอย่างยงกุกเองตอนนี้ก็เป็นถึง..
“มิน่าทำไมพักนี้แถวนี้ถึงได้เงียบนัก”
แขวะเข้าให้สักหน่อย โทษฐานทำให้ป้าเป็นห่วง
“ไม่ต้องพูดถึงเลยนะป้า
เอาไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ยงกุกส่งสายตาบอกป้าว่าอย่าพูดเรื่องไม่ดีของผมต่อหน้าเด็กคนนี้
“ว่าแต่ลุงซองกยูแกไม่คิดจะตื่นมาช่วยป้ารึไงกัน
เห็นวันๆ เอาแต่กินกับนอน!” คนนอนอยู่สะดุ้งโหย่ง
เพราะจริงๆ ไม่ได้นอนหรอกกำลังแอบดูยงกุกเวอร์ชั่นเป็นสุขอยู่ในมุมมืด
กะว่าจะแอบเอาไปเม้าส์สักหน่อย
“ฉันเปล่าหลับนะเว้ย! แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ก็เท่านั้นเอง
แล้วที่ไม่ไปช่วยก็เพราะยายแก่ไม่ยอมให้ช่วยต่างหาก”
“ใครจะอยากให้แกมาช่วยล่ะไอ้แก่
หยิบจับอะไรก็ช้าไปซะหมด แถมพอร้านปิดก็บ่นเมื่อยๆ ให้นวดแขนบ้าง ขาบ้าง
ฉันยอมเหนื่อยคนเดียวซะยังจะดีกว่าอีก”
“พี่ยงกุกฮ่ะ
ลุงกะป้าแกเถียงกันใหญ่เลย” เจโล่ทำตาแป๋วแว๋วใส่ผมด้วยความตื่นเต้น
สงสัยพ่อกับแม่นายนี่คงไม่เคยทะเลาะกันเลยละมั้งเนี่ย
“เปล่าหรอก
สองคนนั้นแค่เนียนต่อหน้าคนอื่นไปงั้นแหล่ะ
พอไม่มีคนอยู่เห็นเอาแต่กอดกันพูดจาจ๊จ๊ะ แค่นึกถึงก็ขนลุกแล้ว” ไม่ว่าเปล่า
ยงกุกทำท่าทางตัวสั่นให้เจโล่ดูเพิ่มเติม เล่นเอาเจโล่หัวเราะร่า
แถมยิ้มกว้างอีกต่างหาก
ส่วนยงกุกที่เห็นเจโล่หัวเราะก็เผลอหัวเราะตามไปด้วยเพราะอดขำความใสซื่อของเจโล่ไม่ได้
แต่เสียงหัวเราะของยงกุกที่ทุกคนไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ยิน
นอกจากเสียงหัวเราะในคอที่ชวนให้ขนหัวลุกเวลาที่เขาอัดใครจมดินได้
หรือไม่ก็เสียงที่เย็นยะเยือกขนาดป่าช้ายังเรียกพี่
ไม่ใช่แค่ลุงซองกยูกับป้าอูฮยอนที่กำลังช็อก แต่ทุกคนที่อยู่ในร้านก็ไม่ต่างกัน
พากันหันหน้ามามองด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
ก็ใช่ว่าคนแถวนี้จะไม่รู้จักปีศาจตนนี้สักหน่อย จริงไหม?
เจโล่ที่ดูจะรู้ตัวว่ามีคนมองมาก็หันไปดูทุกคนที่กำลังมอง
ไม่ใช่แค่หนึ่งรึสองคน แต่เป็นคนทั้งร้านกำลังจ้องยงกุกที่หัวเราะไม่หยุด
จนต้องเอามือไปสะกิดพี่ชาย
“ฉันหัวเราะนี่ไม่ดีรึไง???”
ทันทีที่เงียบเสียงหัวเราะ ก็กลายเป็นเสียงเรียบเฉยเย็นชาใส่คนทั้งร้าน
ซึ่งก็รวมไปถึงเจ้าของร้านด้วยนั่นแหล่ะ
“เปล่าสักหน่อย! ฉันแค่ดีใจที่ได้ยินนายหัวเราะจริงๆ สักที”
ป้าคนนี้จะร้องไห้อยู่แล้วนะรู้ไหมเจ้าบ้ายงกุก
ส่วนเด็กเจโล่นี่สินะที่นายรอจพพบเขามาหลายปีนี้นะ
“ได้แล้วๆ
เลิกทำหน้ายักษ์ใส่ฉันสักทีเหอะยงกุก อ่านี้ของเจโล่นะ” บนโต๊ะมีทั้งซุปกิมจิ ข้าวยำ
หมูสามชั้นย่างหอมๆ กับผักโขมผัดน้ำมันงา
“ขอบคุณฮ่ะ”
เจโล่แจกยิ้มหวานให้คุณป้าอูฮยอนเพราะตื่นเต้นกับอาหาร
แต่ด้วยรอยยิ้มนั่นเองที่ทำให้ป้าเข้าใจว่าทำไมยงกุกจึงคิดถึงเด็กคนนี้นักหนา
เพราะรอยยิ้มที่นำแสงสว่างส่องไปจนถึงมุมมืดที่ยงกุกอยู่เพียงลำพังได้สินะ
“กินกันเถอะ
กินเสร็จจะได้กลับบ้านกัน” รอยยิ้มแห่งความสุขผุดขึ้นอีกครั้งบนในหน้าของยงกุก
ปีศาจที่กลับมายิ้มและหัวเราะได้อีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น