uncopy

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

1st 05 ครั้งแรก


            แผนที่ที่ฮิมชานเอาให้ไม่ได้ช่วยคนที่กำลังก้มหน้าทำความเข้าใจสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าแผนที่มันดูไม่รู้เรื่องหรอกนะ แต่เป็นเพราะคนที่ดูกำลังร้อนรนเรื่องที่อีกคนไม่สบาย ไหนจะของที่หิ้วพะรุงพะรังนั่นอีก มีทั้งนม ข้าวต้ม ผลไม้ แล้วก็อะไรอีกไม่รู้ต่างๆ นานา สงสัยว่าจะวางแผนมาอยู่อีกนาน หลังจากเดินเข้าในซอยก็เจอสักที บ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ลึกสุดของซอย บ้านชั้นเดียวที่น่าจะมีไม่เกินสองห้องนอน หลังคามุงด้วยกระเบื้องแผ่นแบบโบราณนิดๆ แต่เจ้าคนที่อุตส่าหาบ้านหลังนี้แทบตาย ดันไม่เดินเข้าไปหรือแม้แต่เอ่ยเรียกคนข้างใน รึต่อให้เรียกไปก็เท่านั้นแหล่ะก็คนที่น่าจะนอนป่วยอยู่ในบ้านนะ กำลังยืนดูคนตาตี่ที่ลุกลี้ลุกลนพิกลสงสัยว่าจะเถียงกับตัวเองอยู่
            “พี่เขาจะยอมให้ฉันเข้าไปรึเปล่านะ? แล้วตอนเจอหน้าพี่เขาจะโกรธฉันรึเปล่าที่มากวน?? หรือว่าอาจจะโดนเกลียดขี้หน้าไปแล้วก็ได้??? อ่า!!!” เจ้าของตาตี่ๆ ที่ตอนนี้กำลังเกาหัวตัวเองอย่างแรงเพราะสับสนกับความคิดที่ตี่กันจนยุ่งเหยิง
            “ทะเลาะกับตัวเองอยู่รึไงจองอบ!” เสียงที่เอ่ยออกมานั่นไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่เป็นคำทักทายมากกว่า ส่วนคนที่ได้ยินเสียงของคนที่เขาคิดว่าน่าจะอยู่ในบ้านลอยมาจากด้านหลังก็ถึงกับตกใจ
            “พ.. พ... พี่ พี่” จะอึ้งอีกนานไหมจองอบ ทำหน้าแบบนั้นมากๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพของฉันนะ
            “อืมม มาทำอะไรแถวนี้หรอ?” ตาโตไม่ได้มองคนตาตี่แล้วในตอนนี้ เพราะเขารู้สึกเขินแปลกๆที่จะมองเด็กคนนี้มากเกินไป มันทำให้เลือดลมสูบฉีดเกินเหตุ และนั่นยิ่งทำให้ผิวเข้มเริ่มขึ้นสี จนตอนนี้กลายเป็นดำอมชมพูไปแล้วเรียบร้อย แต่คนตาตี่กลับตกใจเพราะคิดว่าตาโตมีไข้สูงจนทำให้หน้าแดงขนาดนี้ จึงรีบทำในสิ่งที่แดฮยอนกลัว ก็ไม่ใช่กลัวคนตาตี่อะไรหรอก ก็แค่ใจของเขาเองนั่นแหล่ะที่มันน่ากลัวในตอนนี้
            “พี่แดฮยอนเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ สงสัยจะไข้ขึ้นอีกแน่ๆ เลย เข้าบ้านเถอะนะครับ ผมจะได้เช็ดตัวให้นะครับ” เช็ดตัวให้เขานี่นะ นายจะบ้ารึไงจองอบ ไม่รู้รึไงถ้าทำแบบนั้นมันจะอันตรายกับนายนะ
            ไม่พูดเฉยเพราะแขนขาวของจอบอบได้ดึงลากแขนของแดฮยอนเข้าไปในบ้านของเขาเอง ทั้งที่ไม่เคยมาเลยสักครั้ง ทั้งที่ไม่ได้เชิญเข้าบ้านด้วยซ้ำไป แต่จอบอบก็จัดการกับข้าวของภายในบ้านของเขาได้เป็นอย่างดี ลิ้นชักตูเสื้อผ้าได้ถูกรื้อค้นเพื่อหาเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมา ก็อันนั้นผมเอาไว้ใช้ซับเหงื่อเวลาไปออกกำลังกายนี่นา แล้วเจ้าตัววุ่นก็วิ่งออกไปผสมน้ำใส่กระมังซึ่งผมมักจะเอาไว้ซักกางเกง(ใน) ถือออกมาอย่างเร่งรีบ ทำเอาผมต้องรีบถามเพื่อความแน่ใจ
            “นายล้างมันอย่างดีแล้วใช้ไหมก่อนจะเอาน้ำใส่มานะ?” หน้าที่ดูกังวลของผม ทำให้จองอบเข้าใจได้ไม่อยากว่าผมอยากให้เขาล้างกระมังนั่นจริงๆ แต่ดูเหมือนผมคงไม่ต้องห่วงอะไรใช่ไหม เพราะเจ้าตัวเขายิ้มหวานให้ซะขนาดนั้น
            “ก็ต้องล้างสิฮ่ะ ผมต้องเอามันมาใส่น้ำเพื่อเช็ดตัวให้พี่นะ” พูดจบก็ยิ้ม แต่ครั้งนี้แฝงเอาไว้ด้วยความเขินอายของเจ้าตัวที่คงจะเพิ่งนึกออกว่าเขากำลังจะทำอะไรให้อีกคน
            “ทำไมถึงไม่สบายล่ะครับ? เพราะผมรึเปล่า??” เสียงที่ใส่อารมณ์น้อยใจมาแบบเต็มๆ ก็ถูกส่งมาให้คนที่ตอนนี้จะตายเพราะไข้ใจ ก็อยู่ดีๆ เจ้าเด็กขี้อายนี่ก็มาสารภาพเอาดื้อๆ
           
            หลังจากปิดร้านก็เกือบจะห้าทุ่มไปแล้ว ไอ้ฮิมมันก็ไม่คิดจะอยู่ช่วยกันสักนิดถึงมันจะเป็นเจ้าของร้านแต่ผมก็เพื่อนมันนะ อุตส่ามาช่วยดูแลร้านแต่ดันทิ้งให้เขาปิดร้านแล้วตัวเองก็ออกไปสะดิ้งกับเจ้าเด็กแก้มป่องนั่น จริงๆ ก็ไม่ได้เกลียดเด็กคนนั้นหรอกนะ แค่ไม่ชอบที่มันเนียนใส่เพื่อนผมจริงๆ ทำเป็นตีสนิทแต่จริงๆ คิดไม่ซื่อกับเพื่อนผม แถมเป็นเพราะมันที่ผมต้องถูกทิ้งให้ปิดร้านคนเดียวบ่อยๆ ด้วย เหนื่อยนะว่าง่ายๆ
          “พี่แดฮยอน!” เสียงลอยมาจากเสาไฟที่ไม่ไกลจากร้านนัก ส่วนคนที่รออยู่ก็ยืนอยู่นานจนเมื่อย เพราะกำลังลุ้นว่าเมื่อไหร่แดฮยอนจะออกมาจากร้าน แต่ก็นานจนเกินเหตุเล่นเอาคนที่ทั้งอายทั้งกลัวในสิ่งที่เจ้าตัวกำลังจะทำ
          “อ้าว! จองอบบี้นี่เอง มายืนอะไรตรงนี้คนเดียวเนี่ย ดึกมากแล้วนะยังไม่กลับบ้านอีกหรอเรานะ?” อาจเพราะเป็นห่วงจริงๆ สายตาที่มองจองอบยิ่งทำให้คนที่ยืนรอใจลอยไปไกลเลย ทางด้านแดฮยอนที่เห็นว่าน้องนิ่งเงียบแบบเอ่อรับประทานก็เลยจะทำให้น้องตกใจเล่นๆ เลยยื่นหน้าไปจ้องใกล้ๆ ตาตี่เล็กถึงกับโตขึ้นมาในบัดดล แล้วก็เอาแต่จ้องมองใบหน้าคมเข้มของอีกคนที่กำลังยิ้มเพราะการแกล้งของเขาได้ผลชะงักนักแล แต่เขาก็ทำผิดมหันต์เพราะคนตรงหน้ากำลังต้องมนต์ของรอยยิ้มที่พราวเสน่ห์ของเขาเอง จนทำให้คนมองถึงกับหลับตาพริ่มแล้วยืนหน้าเข้ามาใกล้เขาแล้วบรรจงประทับรอยจูบลงที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเขา แม้จะไม่ใช่จูบที่หวาบวามสะท้านโลกันต์ เป็นเพียงจูบจากเด็กน้อยที่ใสซื่อคนหนึ่งเท่านั้น แต่นั้นก็ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะเพราะกำลังเตลิดไปกับรสจูบที่หอมหวานนี้
          “ผมชอบพี่แดฮยอนนะครับ!!” พูดออกไปแล้ว ฉันพูดแล้ว
          แต่ที่สองคนคงไม่ได้รู้เอาซะเลยว่ากำลังโดนฮิมชานมองดูอยู่ แล้วฮิมชานมาจากไหนนะหรอ ก็บังเอิญว่าไปส่งคนแก้มป่องๆ กลับบ้านเสร็จแล้ว ด้วยความสำนึกผิดต่อเพื่อนจึงวกกลับมากะว่าจะช่วยปิดร้านสักหน่อย แต่ดันเป็นโชคร้ายของแดฮยอนที่เพื่อนของเขาได้เห็นเข้าให้
          “คิดไว้แล้วเชียวว่าทำไมถึงเขินนักเวลาไอ้แด้มันเข้าไปใกล้ อ่ะฮ่าๆๆ มีเรื่องดีๆ ไปเล่าให้ยองแจฟังซะแล้วสิฉัน” ใบหน้าหล่อๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันหลังกลับไปเพราะไหนๆ ร้านก็ปิดแล้วนิ ฉันจะเข้าไปขัดจังหวะทำไมกัน

            “พี่เกลียดที่ผมทำขนาดนี้เลยหรอฮ่ะ?” แล้วหน้าที่เคยก้มหงุดๆ ก็เริ่มทำเหมือนที่เคยทำเป็น แต่จะต่างจากเดิมก็ตรงที่มีหยดน้ำใสที่หยดลงบนมือทั้งสองข้างที่กำไว้ที่หน้าตักทั้งสองข้างจนแน่น คนที่เห็นไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวยังไง ไม่รู้ว่าเขาควรจะปลอบโยนคนร้องไห้ด้วยวิธีไหน เขาไม่ได้เกลียดที่เด็กคนนี้ทำสักหน่อย เขาแค่หยุดเพราะวันนี้เขาต้องไปเคารพศพของยายต่างหาย ก็มันวันครบรอบวันตายของยายฉันก็ต้องไปเป็นธรรมดา แล้วที่ไม่ปฏิเสธเรื่องที่จองอบเข้าใจว่าเขาป่วยก็มันช่วยไม่ได้ก็มาแล้วนิเลยตามเลยแล้วกัน แต่ว่านี่ไม่ใช่แล้ว ดันมาร้องไห้เพราะคิดว่าโดนเขาเกลียด ฉันไม่ได้เกลียดที่นายจูบฉันนะคงต้องทำให้รู้ใช่ไหมว่าไม่ได้เกลียดนะ
            “ผมขอโทษครับ! ผมไม่ควรทำอย่างนั้น ผมขอโทษ!!” แล้วก็ร้องไห้สะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะคิดว่าโดนเกลียดเข้าเต็มๆ ก็อีกคนดันเงียบเป็นเป่าสาก คนเสียใจยิ่งอาการแย่ลงไปอีก
            “ฉันไม่ได้เกลียดนะจองอบ!” คนที่กำลังก้มหน้าร้องไห้เผยอหน้าขึ้นเล็กน้อยเพราะอยากจะมองอีกคน แต่แขนของคนที่น่าจะป่วยกลับดึงเขาเข้าไปไว้ใกล้ตัว ก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ
            “แล้วพี่ก็ไม่ได้ป่วยด้วย!!” จองอบที่กำลังสับสนไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไรมากนัก เพราะแดฮยอนได้ประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางสวยของจองอบ แต่มันไม่เหมือนตอนที่เขาทำ มันร้อนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้เขาเลื่อนมือไปวางลงที่ไหล่ของแดฮยอนและบีบเบาๆ ด้านแดฮยอนที่เห็นจองอบสนองตอบต่อจูบของเขาแบบนั้นก็ใช้แขนโอบรอบตัวของจองอบ ส่วนมืออีกข้างก็วางไว้ที่แก้มของจองอบ ลมหายใจที่ผ่าวร้อนและจูบที่น่าเสน่หานั้นทำให้จองอบโน้มตัวเข้ากอดแดฮยอนแน่นขึ้นอีก เพราะตอนนี้เจ้าตัวไม่อยากให้แดฮยอนปล่อยมือออกจากตนนั่นเอง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแดฮยอนคิดเช่นกันกับเขาเช่นนั้นเขาจะตักตวงเอาความสุขนี้ไว้ให้มากที่สุด


            “แม่ฮ่ะ พ่อฮ่ะ พรุ่งนี้ผมขอไปเที่ยวกับพี่ยงกุกนะฮ่ะ นะคร๊าบ!” เสียงใสที่ถูกเอ่ยจากคนตากลมแป๋ว เล่นเอาพ่อกับแม่ขัดไม่ได้ อีกอย่างยงกุกก็มาเล่นที่บ้านนี้บ่อยมากที่จริงน่าเรียกว่าแทบทุกวันมากกว่า แล้วเจโล่เองก็ติดยงกุกอย่างกับอะไรดี คงเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเลยดีใจที่มีพี่ชายนั่นแหล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่เลยรู้สึกขอบคุณยงกุกอยู่ไม่น้อยเพราะถ้าไม่ได้ยงกุก เจโล่เองจะต้องเหงาอยู่คนเดียวที่บ้านบ่อยๆ เลยล่ะ
          “อย่ากวนพี่เขาให้มากนักล่ะเรานะ แล้วก็อย่าเอาแต่ใจด้วยนะเจโล่ พ่อนะสงสารยงกุกขึ้นมาเลยเวลาที่เราดื้อเนี่ย” พอคนเป็นพ่อพูดจบ เจ้าเด็กน้อยเจ้าปัญหาของพ่อก็เริ่มแพลงฤทธิ์ เพราะเริ่มทำหน้ามุ่ยใส่แล้วก็ตามด้วยเบะปากใส่จากนั้นก็กระพริ่บตาปริบๆ นั่นแหล่ะลูกชายของเขาเลย เวลาที่โกรธจะทำหน้าที่ใครก็ต้องตามง้อทั้งนั้นแหล่ะน่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เพราะเขากำลังคิดว่ายงกุกเองก็คงจะโดนหมัดน็อคของเจโล่แบบที่เขากำลังโดนนี่แหล่ะ
          “จ้าๆๆ แม่ยอมให้ไปก็ได้ ว่าแต่จะไปไหนฮ่ะเรา”
          “ยังไม่ได้คิดเลยฮ่ะ เดี๋ยวค่อยคิดก็ได้นี่ฮ่ะไม่เห็นต้องรีบเลย” ว่าเสร็จก็ยิ้มหวานใส่พ่อกับแม่ก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนของเจ้าตัวไป
         
            “ฝากดูแลน้องด้วยนะยงกุก แล้วก็อย่าตามใจกันให้มันมากนักล่ะ จะเสียคนอยู่แล้วนะเด็กคนนี้นะ” คนเป็นพ่อพูดออกมาพร้อมกับถอดถอนใจ ก็ลูกชายสุดที่รักเล่นมาบอกเอาตอนเช้าว่าจะค้างคืนด้วยแต่ที่น่าห่วงคือแม้แต่ยงกุกเองก็ยังไม่รู้นี่สิ
            “ผมไปแล้วนะครับพ่อ แม่!” ยงกุกที่ตอนนี้ไม่ต่างจากคนในครอบครัวสักเท่าไหร่ เขาเรียกสองคนนั้นว่าพ่อกับแม่ และยังมีน้องชายจอมยุ่งตรงนี้อีกคน พ่อครับแม่ครับ!! ตอนนี้ไม่ต้องห่วงผมแล้วนะครับ ผมมีคนที่คอยดูแลผมแล้วนะเห็นไหมครับ?
            “แล้วจะรีบกลับนะคร๊าบผม!” สองมือของเจ้าตัวยุ่งกำลังโบกสะบัดอย่างเริงร่า ก่อนจะรีบขึ้นรถของพี่ชายไป
            “ว้าววว ข้างในรถน่ารักจังฮ่ะพี่ยงกุก” มันเป็นรถสารพัดประโยชน์สำหรับผม แต่สำหรับเด็กคนนี้คงเหมือนของเล่นชิ้นใหม่สินะ ใช่รึเปล่าเจโล่?
            “ว่าแต่ไปไหนกันดี เจโล่อยากไปเที่ยวไหนวันนี้” คนหน้าโหดกำลังอมยิ้มบางๆ ก่อนที่จะได้ยินคำตอบชวนให้งงงวย
            “บ้านพี่ยงกุกฮ่ะ ผมอยากเห็นบ้านพี่ยงกุกนะครับ พี่มาเล่นบ้านผมตั้งบ่อยแต่ผมไม่เคยเห็นบ้านพี่เลยนะฮ่ะ พาผมไปนะฮ่ะ นะคร๊าบ!!” หน้าที่อ้อนไม่ต่างจากแมวในเรื่องเชร็คทำเอาคนมองแทยจะหยุดหายใจ มันจะน่ารักเกินไปแล้วนะเจโล่
            “ตามใจนะ แต่มันไม่ได้มีอะไรน่าสนุกให้เล่นเท่าไหร่หรอกนะจะบอกให้” พูดจบก็ทำหน้าสบายอารมณ์อยู่คนเดียว ส่วนอีกคนก็กำลังยิ้มแป้นเพราะพี่ชายยอมให้เขาไปที่บ้านได้
            ก็อย่างที่บอกว่ายงกุกไม่รู้ว่าเจโล่จะมาค้างคืน เลยเกิดอาการไก่ตาแตกเพราะจู่ๆ เจโล่ก็เพิ่งจะมาบอกเขาเอาตอนที่มาถึงบ้านกันแล้ว จริงๆ ก็รู้เอาตอนที่เจโล่หยิบชุดออกมาแขวนในตู้เสื้อผ้าของเขานั่นแหล่ะ
            “ผมเอาชุดนอนตัวโปรดมาด้วยล่ะ ผมไปซื้อมาให้พี่อีกชุดด้วยนา แอบไปกับจองอบมาแต่ กว่าจะหาที่อยากได้เจอเล่นเอาเหนื่อยเลยฮ่ะ” แล้วก็ผงกหัวหงึกๆ บ่งบอกถึงความเอาจริงเอาจังแบบสุดๆ ที่คนอย่างยงกุกไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงหายากขนาดนั้นกะอีแค่ชุดนอนเนี่ย แล้วพอเจ้าตัวป่วนหยิบชุดออกมาจากกระเป๋าก็ทำให้เขาตรัสรู้ ชุดนอนที่เจโล่ซื้อมาให้เขามันเหมือนกับเจโล่ไม่มีผิด ที่ต่างกันก็แค่ของผมเป็นสีแดงส่วนของเจโล่สีฟ้าเท่านั้น ชุดนอนคุณกระต่ายมีหมวกเป็นหัวกระต่าย มีหูกระต่ายด้วย พอพลิกดูดีๆ จะได้เห็นว่ามันมีหางเป็นพุ่มนุ่มๆ อยู่ด้านหลังด้วย แต่ที่ดูจะทำเอายงกุกปวดหัวตึ๊บก็คงจะเป็นรองเท้าคุณกระต่ายนี่แหล่ะ
ผมรู้ว่าคงจะน่ารักมากๆ ถ้าเจโล่ใส่ชุดแบบนี้ แต่กับผมเนี่ยนะ จะให้คนหน้าโหดแบบผมใสชุดที่น่ารักได้โล่แบบนี้นอนเนี่ยนะ เจ้าตัวยุ่งกำลังจะแกล้งผมรึไงกันเนี่ย
“เจโล่! คงไม่คิดจะให้พี่ใส่ชุดแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมฮ่ะเรานะ??” แต่รอยยิ้มโลกสดใสทำเอาผมสะดุ้ง เอาจริงหรอว่ะเนี่ย? แต่จะทำไงได้ก็นี่เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังนี้ดูจะสว่างไสวและอบอุ่นขึ้นมา นับตั้งแต่ผมต้องอยู่ที่นี่คนเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะมีเพื่อนของผมเคยมาที่นี่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสักครั้งเดียวที่ผมจะมีความสุขเวลาที่อยู่บ้าน ยกเว้นวันนี้ที่เจโล่มาบ้านของผม

1st 04 ช่วงเวลาเยียวยาปีศาจ




เนิ่นนานกว่าอ้อมกอดของยงกุกจะเริ่มคลายออกจากตัวเจโล่ที่ไม่มีท่าทีจะขัดขืนที่โดนเขากอดเอาไว้นานขนาดนี้ ถึงแม้มันจะเป็นภาพที่ดูแปลกๆ ที่บังยงกุกคนนี้ ชายหนุ่มที่มีแต่คนกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่กับเด็กคนนี้ที่เข้าเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน ทั้งที่เป็นแบบนั้นทั้งที่น่าจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำแต่กลับจำพี่ชายขี้แยคนนี้ได้ แถมยังปลอบใจเขาด้วยวิธีเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อมยิ้ม..

 “พี่จำผมได้หรอฮ่ะ?” ใบหน้าของเด็กน้อยตอนนี้เปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อที่ออกจะน่ารักซะมากกว่า แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยคือรอยยิ้มและแววตาที่เขาโหยหาเฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายปี สิ่งที่ช่วยทำให้เขามีแรงพอจะใช้ชีวิตต่อไป แม้ว่ามันจะไม่ใช่ชีวิตที่น่าพิสมัยก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตเหลือมาจนถึงวันนี้ วันที่เขาได้รับอมยิ้มนั้นอีกครั้งหนึ่งจากเด็กน้อยที่เขารอคอยมาโดยตลอด

“จะมีใครที่ไหนเรียกอมยิ้มว่าความสุขกัน จะมีใครยิ้มได้แบบนายล่ะ เจโล่!

“ว่าแต่.. ผมยังไม่เคยถามชื่อของพี่เลยฮ่ะ” เด็กน้อยมองพี่ชายด้วยความสงสัย เพราะถึงเขาจะคิดถึงคนๆ นี้มาตลอด ดีใจที่เจอกับพี่ชายคนนี้อีกครั้ง แต่เขากลับไม่เคยรู้ชื่อของพี่ชายคนนี้เลยด้วยซ้ำไป


“บังยงกุก เรียกว่าพี่ยงกุกนะ” ผมคิดถึงเด็กคนนี้มากขนาดนั้นเลยรึไงกันนะ แค่ได้พบเขาอีกครั้งก็ทำให้ผมดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วด้วยซ้ำไปแต่เขาก็กลับมาหาผมจนได้ และที่สำคัญคือเขาไม่เคยลืมผมเหมือนกับที่ผมหวังเอาไว้

ถึงผมจะถูกใครลบออกไปจากชีวิตผมก็ไม่สนใจ แค่เด็กคนนี้เท่านั้นที่ผมต้องการให้เขาจำผมให้ได้ เพราะผมต้องการให้เขาปลอบโยนผมเหมือนที่เขาเคยทำให้ผมในตอนนั้น


ยงกุกยังคงพร่ำบอกกับตัวเองไม่หยุดด้วยความดีใจ ซึ่งไม่ต่างจากอีกคนสักเท่าไหร่นัก ความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลออกมาเมื่อได้พบหน้าอีกคนนั้นเล่นเอาทำตัวกันแทบไม่ถูก


“พี่ยงกุก! ดีใจที่เจอพี่อีกนะครับ” ผมดีใจจริงๆ ที่ได้เจอพี่ชายขี้แยคนนี้อีกครั้ง แต่ที่ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่คงเป็นเพราะแววตาของพี่ยังคงฉายออกมาว่าพี่ยังคงเจ็บปวดอยู่ไม่ต่างจากวันนั้น ผมไม่ชอบใจเลยที่พี่ชายคนนี้ร้องไห้ ผมไม่ต้องการให้เขาเจ็บปวดอีกแล้วและต่อจากนี้ผมจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้ ผมขอสัญญา


ไม่ใช่ยงกุกคนเดียวที่คิดถึงเจโล่ เพราะเด็กหนุ่มเองก็คิดถึงคนตรงหน้าไม่ต่างกัน ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยของเจโล่ที่มีให้ยงกุกไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในสักวัน


“นายหายไปไหนมาเจโล่? พี่..” ยงกุกเริ่มคิดหนักว่าควรพูดรึเปล่าว่าตัวเขามารอเด็กหนุ่มอยู่ที่นี่เกือบทุกวัน ได้แต่เอ่ยถามตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติรึเปล่าในสิ่งที่เขาทำลงไป ยงกุกกลัวว่าถ้าเจโล่รู้เข้าอาจจะกลัวก็ได้

“ผมย้ายไปญี่ปุ่นมาฮ่ะ พ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่นั่นก็เลยต้องเอาผมไปด้วย พี่คิดถึงผมใช่ไหมล่ะ?” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างใส่ยงกุกทำเอายงกุกต้องรีบทำหน้าให้นิ่งเพื่อกลบเกลื่อนความดีใจที่มันล้นออกมานอกอก

“ผมรู้นะ เพราะพี่ดีใจที่เห็นหน้าผม” คำตอบของเด็กน้อยทำเอาเขาต้องอายกับความรู้สึกของตัวเองมายิ่งกว่าเดิม ถึงมันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายอย่างบังยงกุกควรจะเป็น โดยเฉพาะต่อหน้าเด็กน้อยคนนี้ยิ่งไม่ควรอย่างยิ่งแต่ในตอนนี้ยงกุกกลับรู้สึกเขินที่อีกคนดันจับอาการของตัวเองได้

            “ผมคงต้องกลับบ้านแล้วล่ะฮ่ะ ตอนนี้ก็เลยเวลามานานมากแล้วด้วย ต้องโดนดุมากแน่ๆ เลย” ทั้งที่พูดออกมาว่าจะโดนดุแต่เจโล่กลับยิ้มออกมาน่าตาเฉย ทำเอายงกุกมึนไปเลยกับท่าทีของเจโล่

            “ไหนบอกว่าจะโดนดุ แล้วทำไมถึงยังยิ้มได้อีก”

           “ยังไงก็โดนดุอยู่ดีนี่ฮ่ะ จะยิ้มหรือว่าไม่ยิ้มก็โดนดุอยู่ดี” พูดจบเจโล่ก็ดึงแขนยงกุกเหมือนจะบอกว่าให้เริ่มเดินได้แล้ว รอยยิ้มที่แสนสดใสนั้นทำเอายงกุกเกิดคำถามขึ้นมาในหัว โลกของเด็กคนนี้มันสวยงามแค่ไหนกันนะ? ชายหนุ่มได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้นแต่ก็ยอมเดินตามอย่างว่าง่าย


         ระหว่างทางกลับบ้านเจโล่ได้เล่าเรื่องระหว่างที่เขาไปอยู่ที่ญี่ปุ่นให้ยงกุกฟังมากมาย ทั้งเรื่องที่เขากลับมาที่เกาหลีแล้วก็เรื่องของเพื่อนใหม่ที่โรงเรียน แต่ยงกุกที่เอาแต่ฟังไม่ได้ตอบโต้อะไรก็ทำเอาคนเล่าเรื่องแอบเคืองเล็กน้อย จนต้องเอ่ยปากถามเพราะเริ่มจะงอนคนที่เดินมาด้วยกันซะแล้ว

“เรื่องเล่าของผมไม่สนุกหรอฮ่ะ? ทำไมพี่ไม่เห็นพูดอะไรเท่าไหร่เลย” เด็กหนุ่มได้แต่น้อยใจที่เป็นฝ่ายพูดอยู่คนเดียวเลย เขาเองก็อยากจะรู้เรื่องของยงกุกเหมือนกัน เจโล่อยากรู้ระหว่างที่ตัวเขาไม่อยู่ที่นี่พี่ชายคนนี้จะร้องไห้บ่อยแค่ไหน เพราะว่าเป็นห่วงและอยากรู้จริงๆ พอยงกุกเงียบก็ทำเอาเจ้าตัวอดน้อยใจไม่ได้

“พี่อยากฟังเรื่องของเจโล่นะ อยากรู้ว่าที่ผ่านมาเจโล่แจกจ่ายความสุขให้ใครไปบ้าง” พอได้ยินแบบนั้นจากปากของอีกคนก็ทำเอาหน้าสวยงอง้ำ

“พี่หมายถึงอมยิ้มนะ!” และคำพูดต่อมายิ่งทำให้เจโล่หน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม แต่ยงกุกที่ไม่ได้หันมามองไม่อาจรู้ได้ว่าโดนอีกคนโกรธไปแล้ว

“คือ..ได้แบ่งให้ใครบ้างรึเปล่า สงสัยว่าคงจะทำเป็นประจำเลยสิใช่ไหม?” พอยงกุกพูดออกไปแบบนั้นเจโล่ก็ยิ่งรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมจนสุดท้ายต้องเอ่ยออกมาด้วยความน้อยใจคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก

            “พี่จำไม่ได้หรอฮ่ะ?” ยงกุกแทบจะสะดุดลมล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินเสียงสั่นๆ ของเจโล่

“ผมเคยบอกว่าอมยิ้มคือความสุขของผม!

“เจโล่” ยงกุกที่รู้ตัวว่าพูดไม่ดีออกไปก็แทบจะใบ้รับประทานกันเลยทีเดียว

“แล้วผมก็จะแบ่งให้คนที่ผมอยากให้จริงๆ เท่านั้น!

“คือพี่..” ทั้งที่ไม่ตั้งใจแต่ก็ทำอีกคนโกรธซะแล้ว

“ผมไม่ได้ให้อมยิ้มกับทุกคนเหมือนที่พี่พูดสักหน่อย!!!” รอยยิ้มที่สดใสกลายเป็นหน้ามู่ทู่ ริมฝีปากที่เคยใช้ฉีกยิ้มตอนนี้กำลังเบะออกแทน แต่แปลกที่ยงกุกกลับมองว่าน่ารักซะมากกว่า ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดว่าเด็กคนนี้มีแต่ด้านที่น่ารัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักไปซะหมด

“เจโล่!” ตากลมสวยมองอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ไม่นานก็ต้องอึ้งกับคำพูดและท่าทางของยงกุกแทน

“นายเป็นน้องชายให้พี่ได้ไหม? พี่ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”

“ยกเว้นนาย!!” แววตาของยงกุกบอกให้อีกคนรู้ว่าเขากำลังเหงามากขนาดไหน นั่นยิ่งทำให้เจโล่รู้สึกผิดขึ้นมาแทนที่จะโกรธกับคำพูดของยงกุกก่อนหน้านี้ เจโล่ได้แต่คิดว่าอย่างน้อยเขาควรจะกลับมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้

“ผมก็เป็นน้องชายพี่มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี่นา ก็ตอนที่ผมให้อมยิ้มไงฮ่ะ!” คำตอบของเขาทำให้ยงกุกดีใจเป็นที่สุด ที่คนตรงหน้ายอมให้เขาเป็นคนสำคัญมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ยอมให้ฉันเป็นพี่ชายของนาย เจโล่!



“ถึงบ้านผมแล้วฮ่ะ!!“รอยยิ้มถูกส่งกลับมาอีกครั้ง

“อืมม งั้นพี่กลับแล้วนะ พี่ส่งเจโล่ถึงบ้านแล้วนี่” ก่อนจะได้หันหลังเดินกลับไป เจโล่ก็ดึงแขนของผมเอาไว้ก่อน

“ไม่เข้ามาเล่นในบ้านก่อนหรอฮ่ะ ผมมีน้ำผลไม้เต็มตู้เย็นเลยนะ” ยงกุกกำลังโดนเจโล่ระเบิดความน่ารักเข้าใส่ เพราะเขาต้องการให้พี่ชายอยู่เล่นกับเขาต่ออีกสักหน่อย

“เจโล่ ทำไมกลับถึงบ้านช้าจังเลยลูกคนนี้” เสียงผู้หญิงลอยออกมาจากในบ้าน ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นเสียงของแม่ของเจโล่นั่นเอง

            “เข้าไปสิ แม่เรียกแล้วนะเจโล่”

            “แต่ว่าผม..” แล้วเจโล่ก็ทำหน้ามุ่ยเบ้ปากอีกรอบ แถมยังจะทำเสียงสะอื้นเหมือนเด็กๆ ใส่อีกต่างหาก ถ้าเป็นคุณจะทนได้ไหมถ้าโดนเขาอ้อนใส่แบบนี้ ไม่มีทางเสียหรอกเพราะผมก็ต้านทานความน่ารักของเจโล่ไม่ไหวเช่นกัน

            “อ้าว! ใครกันจ๊ะเจโล่ ว่าไงจ๊ะพ่อหนุ่มเป็นเพื่อนกับเจโล่หรอลูก” แม่ของเจโล่น่ารักไม่น้อยไปกว่าลูกชายของเขาหรอก รอยยิ้มแบบนั้นคงได้มาจากแม่แน่ๆ

            “พี่ยงกุกฮ่ะ พี่เขาจะเป็นพี่ชายของผมนะฮ่ะแม่” เอ่อ.. ผมตกใจที่เจโล่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ผมแอบดีใจที่เห็นแม่ของเจโล่ยิ้มตอบกลับมาที่ผม ถึงมันจะรู้สึกเศร้าที่ผมเองก็อยากมีครอบครัวแบบนี้อีกครั้ง แต่แค่นี้ก็เกินพอแล้วในตอนนี้เพราะผมมีเจโล่แล้วไง


            “นี่ดูนั่นสิ.. ใช่ผู้ชายคนนั้นรึเปล่านะ?”

            “บังยงกุกนี่แก ทำไมมาโรงเรียนเราได้ว่ะเฮ้ย!

            นี่เป็นเสียงตอบรับจากบรรดานักเรียนทั้งหลาย ทำไมนะหรอ? ก็ผมเป็นพี่ชายแล้วนี่ ก็ต้องมาส่งน้องชายไปโรงเรียนเป็นธรรมดา ถึงแม้เจโล่จะไม่ใช่เด็กๆ และบ้านก็ไม่ได้ไกลจากโรงเรียนมากนัก แต่ผมก็ต้องการอยู่ใกล้เจโล่ให้มากที่สุด เพราะงั้นผมจึง


            “เจโล่เองก็เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน เพื่อนที่โรงเรียนก็คงยังไม่สนิทเท่าไหร่ ถ้ายังไงให้ผมคอยรับส่งน้องดีไหมครับ... แม่!” นั่นคือคำที่ผมลองเอ่ยออกไป เพราะอยากรู้ว่าแม่ของเจโล่จะมีอาการยังไง ยิ้ม! นั่นคือสิ่งที่เธอทำ

          “ได้สิจ๊ะ ขอบใจมากเลยนะยงกุกที่ช่วยดูแลน้องนะ เด็กคนนี้ยิ่งชอบใจลอยอยู่ด้วย ถ้าได้เรามาคอยช่วยอีกแรงก็คงดี แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง..กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับนะลูก” นี่คือสิ่งที่ผมได้รับจากเจโล่อย่างนั่นหรอ เขายอมให้แม่ของเขาเรียกผมว่าลูก นี่ยิ่งทำให้ผมต้องการเจโล่มากขึ้นไปอีก และผมคงขาดเขาไม่ได้อีกแล้ว


            “เจโล่! ทำไมนายถึงมากับ..เอ่อออ” คนที่ทักเจโล่คนแรกก็คือเจ้าของแก้มป่องๆ แต่ไม่ใช่แค่การทักทายธรรมดา เพราะมือของยองแจพยายามจะสื่อถึงยงกุก แต่ก็ต้องตกใจในคำตอบที่ได้ยิน

            “พี่ยงกุก พี่ชายฉันเอง” ตอนนี้คนได้ยินคำตอบไม่ใช่แค่ยองแจ แต่รวมไปถึงเด็กนักเรียนที่อยู่ใกล้ๆ ด้วย นั่นอาจจะเป็นปัญหาสำหรับเจโล่ได้ เพราะผมเคยเรียนที่โรงเรียนนี่ และทุกคนที่อยู่แถวนี้ล้วนรู้ดีว่าผมใช้ชีวิตแบบนั้น นั่นยิ่งทำให้คนรอบข้างในตอนนี้ต่างพากันงุนงง ว่าเจโล่ที่ดูอ่อนโยนและสุภาพจะเป็นน้องชายของผมยังไง ผมกับเจโล่ไม่ต่างจากขาวและดำ มืดและสว่าง นั่นคือสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีใครบอกผมก็รู้อยู่แกใจดีกว่าใครๆ
            “สวัสดีครับพี่ยงกุก ผมชื่อจองอบฮ่ะ!” นั่นไง มีคนโลกสวยโผล่มาอีกคน เจ้าเด็กคนนี้ดูๆ ไปก็ไม่ต่างจากเจโล่เท่าไหร่แค่ออกจะขี้อายเกินเหตุ ส่วนอีกคนดูจะเป็นตัวป่วนใช่ย่อย ขนาดที่กล้าชี้หน้าฉันด้วยซ้ำไป

            “พี่ไปก่อนนะเจโล่ ตอนเย็นจะมารับนะ แล้วก็..พวกนายช่วยดูแลน้องชายฉันดีๆ ด้วยล่ะ” เด็กน้อยส่งยิ้มและโบกมืออย่างสบายใจให้ยงกุก และยงกุกเองก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว


            ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมจะมีพี่ยงกุกคอยดูแลรับส่งเสมอ พออยู่โรงเรียนก็จะมีจองอบกับยองแจอยู่ด้วยตลอด ผมมีความสุขที่ตอนนี้พี่ยงกุกเริ่มที่จะยิ้มบ่อยขึ้น ส่วนยองแจเองก็เริ่มใจเย็นลงบ้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือคนขี้อายนี่แหล่ะฮ่ะ อันที่จริงผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับความขี้อายของจองอบนะ แต่ผมค่อนข้างกังวลเพราะจองอบจะมีอาการเข้าขั้นโคม่าเวลาที่พวกเราไปหาของกินอร่อยๆ ที่ร้านประจำซะมากกว่า

ผมคงลืมบอกไปใช่ไหมฮ่ะ ร้านนั้นไม่มีชื่อหรอกเพราะพี่ฮิมชานแกไม่รู้จะเลือกชื่อไหนดี เลยตกลงว่าจะยัไม่ตั้งชื่อร้านจนกว่าจะได้ชื่อที่ถูกใจจริงๆ เพราะงั้นพวกเราเลยเรียกแค่ ร้านของพี่ฮิม หรือไม่ก็ ร้านโปรดของยองแจ ว่าแต่วันนี้อาการของเพื่อนผมคนนี้คงไม่หนักเท่าที่ผ่านมาหรอกนะฮ่ะ เพราะผมสังเกตเห็นว่าไม่มีพี่แดฮยอนอยู่ในร้าน เห็นแบบนี้แต่ผมรู้ทันนะ!

“หวัดดีเด็กๆ วันนี้เหมือนเดิมรึเปล่า?” ยังไม่ทันจะนั่ง คุณเจ้าของร้านอย่างพี่ฮิมก็เอ่ยปากทักทายเหมือนรู้ทัน แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่ายิ่งก็คือคนที่นั่งซึมกะทือไม่ฮือไม่อือนี่แหล่ะ

“วันนี้พี่แดฮยอนหายไปไหนหรอครับ ปกติเห็นพี่แกอยู่ร้านตลอดเลยนี่ครับ?” คำถามของเจโล่เล่นเอาคนตาตี่สะดุ้ง เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาเองอยากจะรู้เช่นกัน

“มันไม่สบายนะ นานๆ จะป่วยกะเขาที ให้ไอ้แด้มันพักบ้างก็ดีเหมือนกัน” ตอบเสร็จคุณฮิมก็ผิวปากสบายอารมณ์ไม่มีอาการว่าจะเหนื่อยเพราะต้องดูร้านคนเดียว แหงน้อ.. ก็คุณลูกค้าประจำพากันอกหัก เพราะคุณพี่ฮิมแกเล่นบอกใครต่อใครว่าแกมีแฟนแล้ว ลูกค้าสาวๆ เลยหายกันหมด

“พี่ฮิมชานพอจะรู้ไหมครับว่าพี่แดฮยอนพักที่ไหน? คือ.. ถ้าไม่สบายแล้วยังไม่ได้กินข้าวกินยาจะแย่เอานะครับ ถ้าพี่ไม่ว่างพวกผมแวะไปดูให้ก็ได้ครับ!” เหลือเชื่อว่านี่จะหลุดออกจากปากของเด็กน้อยขี้อายอย่างจองอบ เฮ้อ! นี่เพื่อนของผมกำลังมีความรักหรอเนี่ย?

“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ก่อนมันจะมาเป็นพนักงาน มันเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาก่อนนะ” สายตาของฮิมชานมองตอบกลับมาที่จองอบ คล้ายจะถามคนตาตี่ว่าที่เพื่อนฉันไม่สบาย มันเกี่ยวกับนายรึเปล่า ส่วนเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะเขาเองนั่นแหล่ะ

            “พวกนายก็จะไปด้วยใช่ไหม? เจโล่อ่า ยองแจอ่า” แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเพื่อนทั้งสอง เพราะพวกเขาดันรู้ทันความคิดของจองอบแบบเต็มๆ ใครจะกล้าเข้าไปเป็นก้างขวางคอกันล่ะ

            “ฉันนัดพี่ยงกุกให้มารับนะ คงจะไปด้วยไม่ได้หรอกนะจองอบบี้...” รอยยิ้มที่จองอบเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะคัดค้าน เพราะเขาพอจะได้ฟังเรื่องของพี่ยงกุกมาจากเจโล่บ้าง เขาจึงไม่อยากจะแย่งเวลาอันมีค่าของพี่ยงกุก เขาเจอเจโล่มาทั้งวันแต่พี่ยงกุกได้เจออย่างมากก็ตอนเช้ากับตอนเย็นหลังเลิกเรียนเท่านั้นแหล่ะ

            “แล้ว..” ยังไม่ทันจะได้ถามให้จบประโยค ก็มีเสียงอีกคนแทรกขึ้นมาแทน

            “เอานี่แผนที่บ้านไอ้แด้มัน ส่วนยองแจวันนี้มีธุระกับพี่นะ” ไม่พูดเปล่า เพราะคุณพี่ฮิมชานโน้มตัวลงมาหอมแก้มของยองแจเพื่ออธิบายเรื่องราวที่คิดว่าเด็กอีกสองคนคงอยากจะรู้

            “พวกนายอย่าเพิ่งถามอะไรฉันตอนนี้เลยนะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกทีแล้วกัน” แก้มป่องของยองแจ ตอนนี้ดูเหมือนลูกโป่งสีแดงซะมากกว่า ก็คุณพี่ฮิมแกเล่นทำอะไรไม่ปรึกษากัน จู่ๆ ก็เอาฟันมาเฉาะลูกโป่งเอาดื้อๆ เพื่อนของผมคนนี้ก็คงมีความรักอีกคนสินะ ถ้าอย่างนั้นผมคงมีเวลาให้พี่ชายของผมมากขึ้นสินะ เยี่ยมไปเลย!

            หลังจากแยกย้ายกันไปตามภารกิจของแต่ละคน ก็เหลือผมที่รอพี่ยงกุกที่ป้ายรถเมล์ไม่ไกลจากร้านของคุณพี่ฮิมสักเท่าไหร่ แต่แปลกที่คนมารับมาช้ากว่าทุกครั้ง เขาไม่เคยสายไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ถ้าเป็นเรื่องของเจโล่เขาไม่เคยสาย ตั้งแต่ได้เจอกันอีกครั้งแม้จะผ่านมาแค่ไม่กี่วันก็จริง แต่ไม่มีเช้าไหนที่พี่ยงกุกไม่มาส่งผมที่โรงเรียน และไม่มีเย็นวันไหนที่พี่ยงกุกไม่ไปส่งผมที่บ้าน แล้วพี่หายไปไหนฮ่ะ ทำไมถึงมาช้าแบบนี้?

            แล้วความเป็นห่วงก็ได้หยุดลงตอนที่มีรถตู้โฟล์ครุ่นเก่าคันสีดำมาจอดอยู่ตรงหน้า ส่วนคนขับก็คงไม่ต้องเดาต่อแล้ว ก็ยงกุกพี่ชายขี้แยของเจโล่นั่นแหล่ะ

            “รอพี่นานมากเลยใช่ไหม? พอดีไอ้เจ้านี่มันงอแงนะ” พูดจบก็ก้มหน้าแล้วลูบผมตัวเองไปมา

            “นานฮ่ะ นานมากกกกกก” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยใส่คนมาช้า ถือเป็นการลงโทษเล่นๆ

            “พี่เพิ่งจะไปเอาเจ้านี่มานะ มันไม่ได้ใช่มาสักพักก็เลยต้องไปให้ช่างเขาดูนิดนึง แต่มันก็มีหลายอย่างเลยที่ต้องซ่อมต้องเปลี่ยนอ่ะ เจโล่โกรธพี่มากเลยหรอ??” ใครมันจะไปโกรธได้ลงก็เล่นทำหน้าสำนึกผิดขนาดนั้น

            “พี่ต้องชดเชยให้ผมโทษฐานที่มารับผมช้ามากกกกกก” แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาในหัว

            “เจโล่จะให้พี่ทำอะไร? ถ้าพี่ทำได้จะทำให้เดี๋ยวนี้เลย” พูดจบก็ทำตาปริ่บๆ แต่ดันไม่เข้ากับหน้าโหดๆ ของคนทำเอาซะเลย คนที่กำลังมองอยู่เลยหลุดหัวเราะออกมาไม่หยุด

            “ผมไม่ได้โกรธพี่ยงกุกขนาดนั้นสักหน่อยฮ่ะ แต่ว่ายังไงพี่ก็ต้องชดเชยให้ผมอยู่ดี พรุ่งนี้วันหยุดพาผมไปเที่ยวนะ นะ นะ น่าคร๊าบ!!!” ตากลมๆ ที่กำลังกระพริบแบบนอนสต๊อป ทำเอาคนมองอยู่ถึงกับหูแดงหน้าแดง ถึงเจโล่จะเป็นผู้ชายเหมือนเขาก็จริง แต่คงเพราะตากลมๆ ริมฝีปากเรียวเล็ก และผิวขาวๆ ที่ทำให้เขาทนมองเจโล่เวอร์ชั่นระเบิดความน่ารักนานเกินห้าวิไม่ได้

            “ก็ได้ อยากไปเที่ยวไหนล่ะเรานะ?” จนถึงตอนนี้เขายังคงช็อคกับการระเบิดความน่ารักของเจโล่ไม่หาย จึงทำให้ต้องตอบออกไปทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เจโล่ยืนหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพี่ชาย

            “นะฮ่ะพี่ยงกุกกกกก” นั่นไง โดนหมัดน็อคเข้าให้ ก็ลองจินตนาการของริมฝีปากตอนที่พูดคำว่ากุกดูสิ ยงกุกที่กำลังควบคุมสติของตัวเอง ณ ตอนนี้ก็ได้ออกนอกวงโคจรของโลกไปแล้วด้วยฤทธิ์เดชของชื่อตัวเองเป็นเหตุ

            “เฮ่อออออ...” ยงกุกรีบส่งเสียงคำรามในคอออกมาพร้อมกับๆ ตบแก้มตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติ

            “พี่ยงกุกเป็นอะไรฮ่ะ ไม่สบายหรอฮ่ะ?” ฉันจะป่วยตายก็เพราะนายนั่นแหล่ะเจโล่

            “ไม่เป็นไรหรอก... เอาเป็นว่าบอกแม่ด้วยล่ะ พรุ่งนี้พี่จะไปรับตอนเก้าโมงเช้าแล้วกันนะ ตกลงไหม?” โดนอีกดอกแล้วไงยงกุก ก็ดันหันหน้าไปมองน้องเองช่วยไม่ได้ที่จะได้เห็นเจโล่ยิ้มหวานใส่

            “ไปเที่ยวๆๆๆ พี่ยงกุกจะพาผมไปเที่ยว!!!

            พูดเสร็จก็นั่งโยกซ้ายโยกขวา เล่นเอาคนนั่งอยู่ข้างๆ แทบคลั่ง