uncopy

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

1st 25 ขัดจังหวะ

(มาต่อจากเนื้อหาในตอนคราบปีศาจกันต่อหลังจากที่แหกโค้งไปนานเลย)

“เจโล่อ่า เมื่อกี้นายยังกอดพี่อยู่เลยนะ แล้วทำไมตอนนี้ไม่ยอมให้พี่กอดล่ะ? เจโล่อ่า” ไม่พูดเฉย ยงกุกพุ่งเข้าใส่เจโล่แบบจัดเต็ม
            “หยุดเลยนะ!” ถ้าพี่ยังจะเข้ามาด้วยสภาพแบบนั้นผมจะไม่ทนแล้วนะ บ่นกับตัวเองเสร็จก็กระพริ่บตาปริ่บๆ ใครเห็นก็ยิ่งอยากจะพุ่งใส่อ่านะ
            “ไม่ต้องมาใกล้ผมเลยนะ ถ้าพี่ไม่ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วก็จัดการกับนั่นด้วย เง้อออ... ผมเกลียดพี่ยงกุกที่สุดเลย” ว่าเสร็จก็รีบวิ่งออกไปทิ้งให้คนปากหนาๆ งุนงงที่ปริศนาที่ถูกทิ้งเอาไว้ก่อนคนปากเล็กๆ จะตีจากด้วยอาการเขิน
            “เอ่อ.. เสื้อผ้า กะ ไอ้นั่น?” บ่นจบก็ก้มสำรวจสภาพตัวเอง ก็เลยพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจโล่ถึงโมโหใส่ ก็ที่โดนโกรธคงไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้าหรอกนะ แต่คงจะเป็นเรื่องของไอ้นั่นซะมากกว่า
“นี่แค่โดนกอด.. ฉันเตลิดไปไกลเลยหรอเนี่ย? ไก่ตื่นหมด” ว่าแล้วก็จินตนาการถึงอ้อมกอดเมื่อกี้ต่ออีกสักหน่อยเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

“ฮู้ว์!! ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ มีหวังได้ขาดใจตายสักวันไอ้บ้ายงกุกเอ้ย!!!
ถึงยังไงยงกุกก็เป็นชายหนุ่มที่แข็งแรงพละกำลังเหลือเฟือ แต่ไร้ประสบการณ์ด้านความรัก ไม่เคยยุ่งกับใครที่ไหนซึ่งที่จริงไม่มีใครมายุ่งด้วยมากกว่า เพราะฉะนั้นลืมเรื่องความรักของยงกุกไปได้เลย เขาใช้ชีวิตมาไม่ต่างจากพระสักเท่าไหร่เพราะยังคงรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เหมือนพระก็ตรงที่วันๆ เอาแต่ทะเลาะวิวาทนี่แหล่ะ
แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับร่างกายของยงกุกที่พร้อมจะตื่นตัวได้ตลอดเวลา แค่ดันผิดที่ผิดเวลาเกินไปหน่อย

“อ้าว! เจโล่ทำไมออกมาข้างนอกล่ะ ไม่ทำแผลในยงกุกแล้วหรอ?” แดฮยอนถามเพราะไม่อยากให้เจโล่เขินมากไปกว่านี้ ยังไงซะเจโล่ก็ใสซื่อกว่าแฟนของเขาเยอะ
“เดี๋ยวค่อยทำแผลฮ่ะ ให้พี่ยงกุกล้างตัวเสร็จก่อน” เจโล่ที่มัวแต่คิดถึงยงกุกที่ตื่นตัวเต็มที่ก็จ้องสะบัดหัวอย่างแรงเพราะเริ่มจะฟุ้งซ่านจนกู่ตัวเองไม่กลับ
“เป็นอะไรรึเปล่าเจโล่?” แดฮยอนถามเพราะเป็นห่วงเจโล่จากใจจริง
“คือว่า.. ถ้าผมไม่ยอมพี่ยงกุก ผมจะเป็นคนใจร้ายไหมฮ่ะ?” เจโล่อยากรู้จริงๆ  จึงถามออกไปแบบนั้นซึ่งแดฮยอนเข้าใจความหมายมันดี
“ไม่หรอก.. ถ้าเจโล่ไม่ก็คือไม่ เรื่องแบบนี้มันต้องพร้อมทั้งสองฝ่ายนะ” แดฮยอนพูดในสิ่งที่เขาคิดออกมา
“แต่ว่านะเจโล่” แดฮยอนที่เอ่ยออกมากำลังคิดว่าเขาควรถามเรื่องนี้ดีไหม เจโล่ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ผมขยะแขยงตัวเองฮ่ะ ที่โดนผู้ชายคนนั้น...” จู่ๆ เจโล่ก็พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเองขึ้นมา ตอนนี้เจโล่กำลังร้องไห้ออกมาเพราะความกลัวในสิ่งที่เขาโดนกระทำ
ในตอนนั้นเองที่ยงกุกเดินออกมาจากบ้านและเห็นเขาพอดี แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“ผมไม่เคยรังเกียจเวลาที่พี่ยงกุกจูบผม ผมชอบเวลาที่พี่ยงกุกกอดผมเอาไว้แน่นๆ แต่ที่ผู้ชายคนนั้นทำผม.. ฮือๆๆๆ” แค่คิดก็ทำให้เจโล่ฟุ้งซ่าน มือทั้งสองข้างพยายามเช็ดแก้มใสจนเริ่มจะแดง
“ไม่เป็นไรนะเจโล่!!” ยงกุกสุดจะทนกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็นและได้ยินมัน
“ผม..” ยงกุกอุ้มเจโล่ขึ้นก่อนจะแบกเข้าไปในบ้านไป ส่วนเจโล่ที่กำลังร้องไห้ก็ซบหน้าลงบนอกอุ่นๆ ของยงกุกไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

ส่วนแดฮยอนที่มองเห็นเหตุการณ์ก็พูดออกมาแค่ว่า
“อย่างน้อยๆ บ้านฉันก็มีสองห้องว่ะ” เขาแค่กำลังคิดว่าเจโล่คงจะพร้อมแล้วแน่ๆ และโชคดีที่ห้องที่เขาจัดให้ยงกุกกับเจโล่ก็ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง

ยงกุกวางเจโล่ลงบนที่นอนที่ถูกปูเอาไว้ให้อย่างเบามือ ก่อนจะเช็ดน้ำตาออกจากสองข้างแก้ม ส่วนเจโล่ก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
“พี่จะทำให้เจโล่ลืมทุกอย่างนะ จะทำให้จำไม่ได้ว่าไอ้บ้าคนไหนเคยแตะต้องเจโล่” ยงกุกมองเจโล่ด้วยสายตาอ่อนโยนที่สุดที่เขาจะสามารถทำได้
“พี่ยงกุกฮ่ะ ฮือๆ” เจโล่จ้องมองยงกุกตอบเหมือนจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างออกไป
“พี่รักเจโล่แค่ไหน เจโล่รู้ใช่ไหม?” ยงกุกเอ่ยออกมาก่อนจะผลักเจโล่ในนอนลงอย่างเบามือ
“ผมก็รักพี่ยงกุกฮ่ะ!!” ในครั้งนี้เจโล่ไม่ขัดขืนใดๆ แต่กำลังมองยงกุกที่โน้มตัวลงมาหาแทน
ยงกุกกำลังมอบจูบแสนหวานให้เจโล่ ลิ้นอุ่นๆ กำลังดื่มกินความหวานจากเชอร์รี่ลูกโปรด ก่อนจะถอนริมฝีปากออก และจุมพิตที่หน้าผากของเจโล่เพื่อแทนความรู้สึกรัก แต่จุมพิตนั้นยังไม่หยุดเพราะยงกุกยังมอบให้แก่แก้มใสทั้งสองข้างของเจโล่ด้วย ก่อนที่ยงกุกจะเปลี่ยนจุมพิตนุ่มนวลเป็นจูบเร้าร้อนก็ต้องมีเรื่องให้หงุดหงิดจนแทบจะระเบิดบ้านแดฮยอนทิ้ง

“ยงกุกอยู่ไหน แล้วมันเป็นยังไงบ้างฮ่ะ เจโล่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมแดฮยอน เฮ้ย!! ยงกุกเอ้ย!!!” เสียงที่เรียกอยู่ไม่ใช่ของใครที่ไหนแต่เป็นของลุงมินซูผู้มาเยือน
ยงกุกโมโหที่มีคนมาขัดจังหวะรักของตัวเอง โดยเฉพาะในเวลาที่เจโล่ยอมตามใจเขาแบบนี้ด้วยแล้วมันยิ่งน่าฆ่าทิ้งให้หมด
“จะเรียกทำไม ยังไม่ตาย สบายดีโว๊ย!!!” ยงกุกที่ทะลึ่งพรวดออกมาจากห้องนอน ก็ตะโกนลั่นบ้านจนหลังคาสั่น เล่นเอาคนเป็นลุงที่ห่วงสุดขีดต้องรู้สึกผิด เพราะเขาเห็นเจโล่เดินตามยงกุกออกมาในสภาพหน้าแดงก่ำ
“เอ่อ.. ลุงขอโทษ ลุงแค่เป็นห่วงนะยงกุก” ใครจะไปคิดว่าลุงมินซูผู้นี้จะหวาดกลัวหลานชายของเขาได้ล่ะ แต่ก็นะ.. ดันมาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มันก็ชวนให้อยากจะระเบิดตัวตายจริงๆ
“เจโล่เป็นอะไรมากรึเปล่าฮือ? ไม่โดนทำร้ายใช่ไหม??” เจโล่มองหน้าลุงอย่างหวาดๆ
“บาดเจ็บนิดหน่อย ส่วนเรื่องอื่นผมจัดการแล้ว” แต่พอยงกุกพูด เจโล่ก็เปลี่ยนมาเป็นหน้าแดงแทน เพราะเขากำลังอายที่อยู่ๆ ก็ยอมให้ยงกุกเอาดื้อๆ
“พวกนั้นเป็นคนของใครแกพอจะรู้ไหมยงกุก ลุงจะได้ไปจัดการให้สิ้นซากบังอาจบุกมาถึงบ้านขนาดนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้วนะ” ลุงมินซูยื่นข้อเสนอให้ยงกุก
“เล่นให้หนักกว่าเดิม ใครจะตายผมไม่สนแต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ โทษฐานที่พวกมันใช้วิธีสกปรก โดยเฉพาะที่บังอาจมาแตะต้องเจโล่ของผม!!” น้ำเสียงของยงกุกเรียบเฉยไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่นี่คือน้ำเสียงที่ทำให้ทุกคนเกรงกลัว เพราะมันคือน้ำเสียงของคนที่ไร้หัวใจ ไม่มีความปราณีใดๆ
“ใจเย็นนะฮ่ะพี่ยงกุก” เจโล่ทำได้แค่เขย่าแขนยงกุกเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เจโล่เริ่มจะเห็นด้วยกับความคิดของยงกุก เขาเกลียดคนพวกนั้น เขาเกลียดที่ต้องเจอเรื่องเลวร้าย และเหมือนความคิดของเจโล่จะถูกฉายมาบนใบหน้ายงกุกจึงรีบกอดเจโล่เอาไว้แน่น
“พี่จะทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าไม่ควรมาแตะต้องเจโล่แม้แต่ปลายเส้นผม” ยงกุกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่อเจโล่แต่มันเหมือนคำสั่งประหารสำหรับคนพวกนั้น
“ลุงว่าพวกเราคงต้องคุยกันก่อน แดฮยอนลุงขอนั่งคุยกับยงกุกในบ้านเรานะ จริงๆ ก็เรียกคนอื่นๆ เข้ามาด้วยก็ดีเหมือนกันนะ” คนอื่นที่ลุงมินซูพูดถึงไม่ใช่ลูกน้องของแกหรือใครที่ไหน แต่เป็นฮิมชานที่ไปรับยองแจกับจองอบมาจากร้านของเขา เพราะเขาไม่แน่ใจว่าพวกมันจะไปเล่นงานที่ร้านรึเปล่า
“เมื่อกี้มันโกรธอะไรขนาดนั้นว่ะแด้ ตะโกนซะลั่นบ้านเลย” ฮิมชานถามแดฮยอนด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
“ก็ดันมาขัดจังหวะมันกับเจโล่อ่ะดิ แถมวันนี้เจโล่ก็อุตส่ายอมมันแล้วด้วย!!” ฮิมชานเข้าใจยงกุกได้ดีว่าคงจะเป็นอะไรที่น่าโมโหมากๆ เพราะยงกุกเป็นคนเดียวที่ยังไปไม่ถึงไหน
“เป็นฉันก็คงระเบิดอารมณ์แบบนั้นเหมือนกันว่ะ!” แดฮยอนที่เข้าใจยงกุกไม่ต่างกับฮิมชานก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลังจากคุยกันอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าลุงมินซูจะให้ลูกน้องเฝ้าอยู่ที่บ้านของยงกุกส่วนหนึ่ง และที่เหลือก็จะกระจายไปที่บ้านแต่ละคนเพื่อความปลอดภัย แต่ก็จะคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่รับกวน และในตอนนั้นเองที่ลุงมินซูได้หันไปเจอรูปของใครคนหนึ่ง คนที่ครั้งหนึ่งเคยรักเขามากแต่ก็ผลักไสเขาไปไกลเพียงเพราะเขาเป็นนักเลงหัวไม้ที่ไร้เงินทองมากนัก แต่ก็มารู้เอาที่หลังว่าที่เธอต่อว่าเป็นเพราะเธอห่วงเขามากจึงอยากให้เลิกเป็นนักเลงแต่ก็สายกว่าจะรู้ตัว เพราะเมื่อเขากลับมายังบ้านที่เขาเคยอยู่กับเธอในตอนนั้นเธอได้เก็บข้าวของหนีเขาไปแล้ว
แต่ทำไมถึงมีรูปของหล่อนอยู่ที่นี่ได้กันนะ
“แดฮยอนนี่บ้านของเรารึ?” เขากำลังสงสัยบางอย่าง
“ครับ นี่บ้านที่ผมอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็กครับ” แดฮยอนมองหน้าลุงมินซูที่ถามคำถามแปลกๆ กับเขา
“แล้วผู้หญิงในรูปนี้เป็นใครกับนายรึแดฮยอน?” เขาต้องการความมั่นใจ
“แม่ที่ไม่สนใจใยดีผมสักเท่าไหร่ ลุงถามทำไมหรอฮ่ะ” แดฮยอนเริ่มหุบยิ้มทันทีที่มีคนพูดถึงผู้หญิงคนนั้น
“แล้วพ่อของนายล่ะ ลุงไม่เห็น..” แต่แดฮยอนก็พูดสวนขึ้นมา
“เขาไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้ คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูก” แดฮยอนในตอนนี้ดูเศร้าขึ้นมานิดๆ จนจองอบต้องเข้าไปกอดเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะฮ่ะพี่แดฮยอน ผมอยู่กับพี่แดฮยอนนะฮ่ะ” จองอบที่จะปลอบแดฮยอนเป็นฝ่ายร้องไห้ซะเอง
แต่ลุงมินซูยังคงไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้ เขายังอยากรู้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ
“นายเกิดวันอะไรแดฮยอน ปีไหน?” แต่หลังจากได้ยินคำตอบของแดฮยอนก็ทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มันคือเรื่องจริง ก่อนจะโผตัวไปกอดแดฮยอนอีกคน
“แดฮยอนน่า นี่พ่อนะลูก” พ่อ? พ่อหรอ?? ลุงมินซูพูดเรื่องอะไรออกมา
“อย่ามาล้อเล่นนะ! ลุงจะมาเล่นตลกอะไรของลุง” มินซูเห็นว่าแดฮยอนคงไม่ฟังที่เขาพูดแน่ จึงหยิบรูปถ่ายออกจากกระเป๋าสตางค์ รูปที่เขาพกติดตัวไว้เสมอ
“นี่คือเมียของฉัน เธอเก็บข้าวของหนีฉันไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันพยายามหาเธอมาตลอดแล้วก็มาเจอนาย!!” ตอนนี้ไม่ใช่แค่แดฮยอนที่งง แต่ทุกคนที่อยู่ในบ้านต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก แต่ที่งงหนักไม่แพ้แดฮยอนก็คงจะเป็นยงกุก
“สรุปว่าลุงโดนเมียทิ้ง ตามหาเมียไม่เคยเจอ แล้วก็ไม่เคยรู้ว่าเมียท้องเนี่ยนะ?” สิ่งที่ยงกุกพูดออกมาเป็นสิ่งที่ทุกคนสงสัยไม่ต่างกัน ทำไมถึงไม่เคยรู้อะไรเลย
“ตอนนั้นฉันเป็นแค่นักเลงปลายแถว กลับบ้านไปทีก็มีแต่แผลเต็มตัว แต่ฉันก็ไม่ยอมเลิกเป็นนักเลง จนสุดท้ายวันหนึ่งที่กลับบ้านก็ไม่เห็นเมียฉันแล้ว เหลือแค่จดหมายเขียนทิ้งเอาไว้ บอกว่าเธอไม่อยากให้ชีวิตของเธอต้องมาคอยนั่งเป็นห่วงคนอย่างฉัน” นั่นทำให้สีหน้าของลุงมินซูหมองลงไป
“ฉันรักเมียของฉันและยังรักอยู่ ไม่งั้นคงหาเมียใหม่ไปนานแล้ว แต่พอมาเห็นรูปในบ้านของแดฮยอนฉันก็นึกว่าเธอแต่งงานใหม่ไปแล้ว แต่จากวันเกิดของแดฮยอน ฉันมั่นใจว่าแดฮยอนเป็นลูกของฉันแน่นอน เพราะนายเกิดหลังจากที่แดซองหนีฉันมาได้หกเดือน เพราะฉะนั้นนายเป้นลูกของฉันแน่ๆ” ลุงมินซูจ้องมองแดฮยอนไม่วางตา แดฮยอนไม่มีส่วนคล้ายแดซองเลยแม้แต่น้อย นั่นคงเป็นสาเหตุที่เขาจำแดฮยอนไม่ได้ จะว่าไปแดฮยอนคงจะได้ความหล่อของเขามาแทนเป็นแน่
“แม่ของผมอาจมีชู้ก็ได้เธอถึงหนีคุณมา” แดฮยอนไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่ได้ยิน เขาหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อมาหักล้างคำพูดของลุงมินซู
“ผมไม่อยากเชื่อว่าคุณคือพ่อของผม และต่อให้ใช่ผมก็ไม่อยากยอมรับว่าคุณคือพ่อ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยมีคนๆ นั้นในชีวิต!!” คำพูดที่แดฮยอนกล่าวออกมาทำร้ายจิตใจลุงมินซูเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ถือโทษโกรธแดฮยอนเพราะเขาเข้าใจว่าแดอยอนต้องรู้สึกยังไงตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ยังไงก็ตรวจดีเอ็นเอเถอะนะแดฮยอน ต่อให้นายจะไม่ยอมรับในตัวฉันฉันก็ไม่ว่าอะไร ฉันจะเป็นลุงมินซูต่อไป แต่อย่างน้อยในฉันมั่นใจในเรื่องนี้ได้ไหม??” ลุงมินซูพูดอย่างอ่อนโยนกับคนตรงหน้าที่คงจะเป็นลูกของเขาไม่ผิดแน่
“ตรวจเถอะฮ่ะพี่แดฮยอน จองอบขอร้องนะฮ่ะ ทำเพื่อผมนะฮ่ะพี่แดอยอน!!” จองอบเองก็ช่วยพูดอีกแรง ต่างจากอีกคนที่เอ่ยออกมาได้ขวางโลกสุด
“ไม่ตรวจก็ดี ไม่เห็นต้องรู้เลยว่าพ่อเป็นใคร แต่อย่ามาเสียใจเอาทีหลังแล้วกัน” ยงกุกพูดเพราะเขาคิดแบบนั้นจริงๆ อย่ามาเสียใจเอาตอนที่ไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว
“ถ้านายอยากจะอยู่ในโลกมืดมนแบบฉันต่อไปก็ตามสบายนะแดอยอน” นั่นคือคำพูดของยงกุกที่สะกิดให้แดฮยอนคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
“ถ้าผมเป็นลูกคุณจริงๆ งั้นผมก็เป็นพี่ของยงกุก แล้วยองแจกับยงกุกก็เป็นญาติกันด้วยสิครับ” สรุปว่าเรื่องมันชักจะพันกันยุ่งเหยิงซะแล้วสิงานนี้ สรุปว่ายังไงกันเนี่ย


ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น